'ไลอ้อน ประเทศไทย' ดึงประสบการณ์ผ่านวิกฤตต้มยำกุ้ง-แฮมเบอเกอร์สู้โควิด บริหารองค์กรรัดกุมแต่ไม่หยุดพัฒนา ชูนวัตกรรมเป็นธงนำผลิตสินค้า ตอบโจทย์ดูแลสุขภาวะลูกค้าทุกกลุ่ม ควบคู่ดูแลสังคม
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี ประธานกรรมการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 (โควิด-19) ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2563 ต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจในวงกว้าง คนทุกกลุ่มถูกกระทบ ส่งผลต่อกำลังการใช้จ่าย และต่อองค์กรธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในภาวะนี้บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำประสบการณ์ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 และวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพซับไพรม์ (วิกฤตแฮมเบอเกอร์) มาใช้ในการบริหารจัดการองค์กร และเชื่อมั่นว่าจะผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดยที่ธุรกิจไม่หยุดชะงัก
"หลักการสำคัญที่เรายึดมั่นในช่วงที่เกิดวิกฤตในระบบเศรษฐกิจคือ การไม่ใช้เงินกู้ แม้จะมีเครดิตที่ใช้ได้จำนวนมาก การลงทุนทั้งหมดจะมาจากเงินสะสมของบริษัท และสิ่งสำคัญที่จะไม่ทำในสิ่งที่บริษัทที่ล่มสลายในวิกฤตทำ คือความไม่ซื่อสัตย์ และการไม่พัฒนาไม่ปรับตัว" นายบุญฤทธิ์ กล่าว
นายบุญฤทธิ์ กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะทำให้เกิดข้อจำกัดหลายด้าน แต่บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาและการลงทุน พัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อการมีสุขภาวะที่ดีขึ้นของลูกค้าทุกช่วงวัย ทั้งกลุ่มเด็ก วัยทำงาน และผู้สูงอายุ รวมถึงการผลิตสินค้ารับกับกระแสปัจจุบัน โดยเร็วๆ นี้ ได้ขยายธุรกิจจากสินค้าอุปโภคสู่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แอสคอร์-เท็น (ASCOR-10) ที่ช่วยตอบโจทย์ผู้ต้องการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายแบบองค์รวม ด้วยสมุนไพรธรรมชาติ
ขณะที่การวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องจากปัจจุบันที่การออกผลิตภัณฑ์ในแต่ละกลุ่มให้ความสำคัญอย่างมากกับการวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ช่วยลดปัญหาด้านสุขภาวะของแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน เช่น สินค้าแบรนด์ GoodAge (กู๊ดเอจ) ทุกผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเพื่อสุขภาพผิวกาย ครีมอาบน้ำ ครีมบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพช่องปากยาสีฟัน แปรงสีฟัน สำหรับผู้สูงอายุ สอดคล้องกับเทรนด์การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของประชากรไทย
"การวิจัยและพัฒนาจะยังมีต่อเนื่อง และจะมากขึ้นด้วย เพราะเมื่อไม่นานมานี้เราได้ตั้งศูนย์วิจัยที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีทั้งนักวิจัยและเครื่องมือที่เอื้ออำนวยต่อการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างมาก ล่าสุดนักวิจัยของเราได้ค้นพบสารสกัดจากพืชท้องถิ่นที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ การ Upcycling ไม่ให้กลายเป็นขยะ นำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีคุณค่า ซึ่งเร็วๆนี้จะนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลเส้นผมและผิวพรรณ เป็นแนวทางที่นอกจากจะได้สินค้าคุณภาพแล้ว ยังได้ดูแลเกษตรกรในชุมชนให้มีแหล่งรายได้เพิ่มขึ้น" นายบุญฤทธิ์ กล่าว
นอกจากนี้โครงการเพื่อสังคมที่บริษัทดำเนินการอยู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการส่งเสริมสุขภาพช่องปาก การมีสุขภาพช่องปากที่ดี นำไปสู่การมีสุขภาพร่างกายที่ดี, โครงการศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ทานผักปลอดสารพิษเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนในระยะยาว และโครงการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี เพื่อสร้างความพร้อมให้ผู้สำเร็จการศึกษาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง พร้อมทั้งเรียนรู้และเข้าใจการบริหารชีวิต ในการทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ปีนี้บริษัทฯ ดำเนินการมาเป็นปีที่ 4 โดยคัดเลือกนักศึกษาที่มีความประพฤติดี มาจากครอบครัวสัมมาชีพ แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ บริษัทฯ เป็นผู้สนับสนุนค่าเล่าเรียน จัดหาที่พัก และให้เบี้ยเลี้ยงตลอดหลักสูตร
"เราจะดำเนินโครงการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีต่อไป ส่วนหนึ่งเพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของ นายแพทย์มงคล ณ สงขลา อดีตรมว.สาธารณสุข ซึ่งท่านได้เสียชีวิตเมื่อเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ช่วงหลังเกษียณอายุราชการท่านมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประธานเครือสหพัฒน์ ต่อมาท่านได้มาเป็นกรรมการของไลอ้อน(ประเทศไทย) ตลอดเวลาที่ผ่านมมา ท่านได้ริเริ่มโครงการเพื่อสังคมมากมาย รวมถึงโครงการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ซึ่งท่านลงพื้นที่ไปคัดเลือกเด็กนักศึกษาด้วยตนเอง ตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุดของประเทศ ท่านไม่ได้เน้นให้เราสนับสนุนคนเก่ง แต่ให้สนับสนุนคนดี ซึ่งนอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการที่เราได้ทำเพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของท่าน ที่ต้องการยกระดับความเป็นอยู่สุขภาวะของคนไทยให้ดีขึ้น" นายบุญฤทธิ์ กล่าว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit