บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับชุมชน 2 กลุ่มในจังหวัดสงขลา เพื่อจัดสร้างโรงตากอาหารทะเลแปรรูปจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะทำให้มีปริมาณปลาที่จะขายได้มากขึ้นเป็น 2 เท่า ด้วยการลดระยะเวลาในการตากแห้งและยังทำให้สินค้ามีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของไทยยูเนี่ยนที่จะตอบแทนให้แก่ชุมชนที่เรามีการดำเนินงานอยู่
ข้อตกลงนี้ได้ทำร่วมกับกลุ่มสตรีแปรรูอาหารทะเลบ้านนาทับ จังหวัดสงขลา และสมาคมรักษ์ทะเลไทย มีการกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างสามฝ่ายเพื่อปรับปรุงมาตรฐานอาหารปลอดภัย และพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการผลิตสินค้าอาหารทะเลแปรรูป อีกทั้งยังจะร่วมมือกันอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรชุมชนชายฝั่งและการจัดการผลผลิตสัตว์น้ำ
ภายใต้ข้อตกลงนี้ ไทยยูเนี่ยนจะสนับสนุนการสร้างโรงตากอาหารทะเลแปรรูปจากพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับการตากปลาให้กับกลุ่มสตรีแปรรูปอาหารทะเลบ้านนาทับ เพื่อสนับสนุนความพยายามในการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาตากแห้งของชุมชน
"ไทยยูเนี่ยนมีความมุ่งมั่นที่จะตอบแทนชุมชนที่เรามีการดำเนินงานอยู่ด้วยการช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในชุมชนเหล่านั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของเรา หรือ SeaChange(R) ดังนั้น เราจึงภูมิใจอย่างมากที่ได้เป็นพันธมิตรในโครงการนี้ ซึ่งมีความสำคัญต่อชุมชนมากและสนับสนุนพวกเขาในการพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มที่หลากหลาย" นายปีเตอร์ แกลลี่ ผู้อำนวยการกลุ่มสื่อสารองค์กร บมจ. ไทยยูเนี่ยน กล่าว "โรงตากอาหารทะเลแปรรูปจากพลังงานแสงอาทิตย์นี้ ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสินค้าจากแมลง ลดระยะเวลาในการตากแห้งระยะเวลาการผลิตจากเดิมลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มผลผลิตด้วย"
นางบีเย๊าะ อำพันนิยม ประธานกลุ่มสตรีแปรรูปอาหารทะเลบ้านนาทับ กล่าวว่า "ชุมชนจะใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาคุณภาพของสินค้า และสร้างจิตสำนึกเรื่องการทำประมงอย่างยั่งยืน โอกาสที่ชุมชนได้รับมานี้ไม่เพียงจะเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นเพราะช่วยให้มีอาชีพ และสามารถสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในท้องถิ่นอีกด้วย"
นายบรรจง นะแส ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวว่า เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทขนาดใหญ่อย่างไทยยูเนี่ยนตระหนักถึงความสำคัญของชุมชนประมงพื้นบ้าน และประโยชน์ของการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน "ความยั่งยืนของท้องทะเลจะเกิดขึ้นได้ หากทุกคนตระหนักถึงวิธีการที่ดีที่สุดในการใช้ทรัพยากรในท้องทะเล และการทำประมงโดยไม่ใช่เครื่องมือจับแบบทำลายล้าง โครงการริเริ่มนี้เป็นความร่วมมือที่ดีระหว่างชุมชนประมงพื้นบ้าน และภาคธุรกิจบริษัทเอกชนที่ทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน และคำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลเพื่อคงไว้ให้กับลูกหลานของเราต่อไป" นายบรรจงกล่าว
เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี
วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก โดยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 126,275 ล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 44,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน
ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Ruegen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่
จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange(R) และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2562 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่เจ็ดติดต่อกัน โดยได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน และได้รับอีกหลากหลายรางวัลสำหรับการเป็นผู้นำในการทำงานด้านความยั่งยืน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit