บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุน K-GOLD-A(D) และ K-JP กว่า 200 ล้านบาท เผยราคาทองคำโลกผันผวนสูง ได้แรงหนุนจากค่าเงินสหรัฐฯอ่อนค่า และอัตราดอกเบี้ยติดลบ ด้านญี่ปุ่นยังฟื้นตัวช้า รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหวังให้กลับมาดีขึ้น แนะผู้ลงทุนติดตามความคืบหน้าการอนุมัติใช้วัคซีน โดยให้ถือกองทุนทองคำในสัดส่วน 5-10% ของพอร์ต ส่วนกองหุ้นญี่ปุ่นให้ประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุน
นายนาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุนเปิดเค โกลด์-A ชนิดจ่ายเงินปันผล (K-GOLD-A(D)) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย และ กองทุนเปิดเค ญี่ปุ่น หุ้นทุน (K-JP) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย โดยทั้ง 2 กองทุนมีกำหนดจ่ายปันผลพร้อมกันในวันที่ 14 มกราคม 2564 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 217.82 ล้านบาท
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-GOLD-A(D) ใช้กลยุทธ์การบริหารผ่านกองทุนหลัก SPDR Gold Trust ที่เน้นลงทุนในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำแท่งในตลาดโลก โดยกองทุนมีการจ่ายปันผลนับตั้งแต่จัดตั้ง รวมทั้งสิ้น 21 ครั้ง เป็นเงิน 5.55 บาทต่อหน่วย และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 6.68% ต่อปี ทั้งนี้ ราคาทองคำมีความผันผวนสูง ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาด รวมถึงประเด็นทางการเมืองในหลายภูมิภาค ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยหนุนให้ปิดบวกได้กว่า 25% ในปีที่ผ่านมา สำหรับระยะถัดไปราคาทองคำยังคงมีแรงหนุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเข้าสู่ภาวะติดลบ ทำให้ต้นทุนในการถือครองทองคำลดลง รวมถึงปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ ในขณะที่ปัจจัยกดดันหลักยังเป็นเรื่องความคืบหน้าในการอนุมัติใช้วัคซีน
"กองทุน K-JP ใช้กลยุทธ์การบริหารผ่านกองทุนหลัก Schroder International Selection Fund Japanese Equity, Class A Acc ที่เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีความสามารถทางการแข่งขันสูง และมีการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยผู้บริหารกองทุนหลักจะไม่จำกัดหมวดหมู่ของอุตสาหกรรมหรือขนาดของบริษัท เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการลงทุนสูงสุด ทั้งนี้ กองทุนมีการจ่ายปันผลนับตั้งแต่จัดตั้ง รวมทั้งสิ้น 10 ครั้ง เป็นเงิน 2.85 บาทต่อหน่วย และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 2.79% ต่อปี สำหรับเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ในขณะที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมกว่า 13% ของ GDP โดยหวังเยียวยาเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น ทางด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังต้องจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดในประเทศญี่ปุ่น และประเทศคู่ค้าหลักๆ รวมถึงนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯที่จะมีต่อญี่ปุ่นในระยะถัดไป" นายนาวินกล่าว
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าลงทุนกองทุน K-GOLD ทั้งในรูปแบบชนิดจ่ายเงินปันผล หรือ ชนิดสะสมมูลค่า เป็นสัดส่วน 5-10% ของพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง ส่วนกองทุน K-JP แนะนำให้ประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุน โดยสามารถลงทุนได้ง่ายๆ เริ่มต้นเพียง 500 บาท ผ่าน App K PLUS และ K-My Funds หรือ ธนาคารกสิกรไทย หรือ ผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ผู้ลงทุนติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน - กองทุน K-GOLD-A(D) ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ - กองทุน K-JP ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากกองทุนมิได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนจึงอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit