ทิสโก้เวลธ์ชี้กำไรไตรมาส 2 หุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์เติบโตโดดเด่น คาดบวกสวนทาง บจ.ไทย แนะนักลงทุนใช้กองทุนหุ้นเมกะเทรนด์จัดพอร์ต แทนวิธีกระจายสินทรัพย์ลงทุนรายประเทศ
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr.Nattakrit Laotaweesap, Head Of Wealth Advisory of TISCO Bank Public Company Limited) เปิดเผยว่า ในปีนี้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบราว 16% สาเหตุหลักเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากการแพร่ระบาดของ COVID -19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะติดลบ 6.4% ซึ่งถือว่าติดลบมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง
จากปัจจัยลบดังกล่าวย่อมส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย โดยนักวิเคราะห์จากบล.ทิสโก้ คาดว่า บริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาส 2/2563 จะมีกำไรประมาณ 99,759 ล้านบาท ลดลง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันหากดูตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2/2563 ของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มเมกะเทรนด์ของโลก เช่น กลุ่มอีคอมเมิร์ซ กลับเติบโตสวนทาง โดยนักวิเคราะห์จาก Factset คาดว่ากำไรในไตรมาสที่ 2/2563 จะเติบโตได้ 11%
สำหรับตัวอย่างบริษัทกลุ่มอีคอมเมิร์ซที่มีอัตราการเติบโตดีอย่างโดดเด่น เช่น บริษัท Shopifyผู้ประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซแพลทฟอร์มสำหรับสร้างร้านค้าออนไลน์ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการมีหน้าร้าน สามารถสร้างหน้าร้านขายสินค้าออนไลน์ได้เอง ในไตรมาส 2/2563 มีรายได้อยู่ที่ 714.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตขึ้นกว่า 97% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรเติบโตถึง 650% YoY ซึ่งเป็นการเติบโตในช่วงที่มีมาตรการ Lockdown ทำให้คนออกจากบ้านไปซื้อสินค้าไม่ได้ จึงเปลี่ยนมาซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น โดยมีร้านค้าเปิดใหม่ (New Stores) ที่ถูกสร้างขึ้นผ่านแพลทฟอร์มของ Shopify เพิ่มขึ้นถึง 71% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ)
อีกตัวอย่างที่เติบโตชัดเจนในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 คือ บริษัท Etsy ผู้ประกอบธุรกิจสื่อกลางในการซื้อ และขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ (Marketplace) ในสหรัฐฯ และยุโรป เน้นขายสินค้าออนไลน์ที่เป็นงานทำมือ (Handmade) เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ เสื้อผ้า ของเล่นและอื่นๆ กว่า 66 ล้านรายการ มียอดขายไตรมาส 2/2563 กว่า 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเติบโตกว่า 147% YoY และมีผู้ซื้อขายที่มีความเคลื่อนไหว (Active Buyers) อยู่ที่ 60 ล้านรายเพิ่มขึ้น 41% YoY โดยเป็นผู้ซื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 11.5 ล้านราย ทำให้บริษัทมีกำไรเติบโตสูงถึง 435% YoY
นอกจากนี้ บริษัทที่อยู่ในกลุ่มดิจิตอลเฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ก็เติบโตได้ดีไม่แพ้กัน โดยบริษัทที่เติบโตอย่างโดดเด่น เช่น บริษัท Teladoc ผู้นำด้านธุรกิจ Telemedicine ที่เข้ามาช่วยเชื่อมโยงระหว่างคนไข้และบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านโทรศัพท์ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในชื่อ “Telehealth” เพื่อให้คำปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ทั่วโลก ในไตรมาสที่ 2/2563 มีรายได้อยู่ที่ 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการปรึกษาแพทย์ในช่วงที่ COVID-19 แพร่ระบาดเพิ่มขึ้นสูง อีกตัวอย่างคือ บริษัท Dexcom ผู้คิดค้นพัฒนาและผลิตเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยไม่ต้องเจาะเลือดแบบเดิมๆ โดยในไตรมาส 2/2563 มีรายได้อยู่ที่ 451 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มีกำไรเติบโตกว่า 887% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นกว่า 20%
นายณัฐกฤติ กล่าวอีกว่า จากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเมกะเทรนด์ หนุนให้ราคาหุ้น และราคาหน่วยลงทุนของกองทุนที่ลงทุนในบริษัทเหล่านี้เติบโตดีอย่างมาก โดยกองทุน Amplify Online Retail ETF (IBUY:US) ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ธุรกิจมีรายได้หรือได้รับประโยชน์จากช่องทางจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันให้ผลตอบแทนถึง 79% ขณะที่กองทุน Credit Suisse Lux Digital Health Equity Fund (CSGDIBU:LX) ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการแพทย์ (Digital Health) ทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันให้ผลตอบแทนถึง 42%
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์มีอัตราการเติบโตอย่างโดดเด่นท่ามกลางเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย และกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นไทย ดังนั้น ทิสโก้เวลธ์จึงแนะนำให้นักลงทุนเลือกกองทุนหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์มาเป็นสัดส่วนหลักของการจัดพอร์ตการลงทุน แทนการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นไทย และแทนการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์รายประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจขาลง และยังเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในระดับสูง ตามศักยภาพการเติบโตของหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ที่จะโตต่อเนื่องไปอีก 5-10 ปี โดยนักลงทุนไม่จำเป็นต้องปรับพอร์ตบ่อยครั้ง
“แม้ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นไทยจะปรับลงมามากแล้ว แต่ทิสโก้เวลธ์ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุน เพราะปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่ระบาด COVID-19 อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยใช้เวลานานในการฟื้นตัว โดยเฉพาะการที่ไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวในระดับสูง ดังนั้น การลงทุนในหุ้นเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตที่ดี น่าจะเป็นทางเลือกเดียวที่จะสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจในยามที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง โดยนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้สามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการลงทุนต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว แต่ควรพิจารณาถึงรายละเอียดของกองทุนอย่างถี่ถ้วน เพราะไม่ใช่ทุกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยนักลงทุนที่สนใจสามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการลงทุนที่ธนาคารทิสโก้ได้ทุกสาขา” นายณัฐกฤติกล่าว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit