บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) โชว์งบไตรมาส 3/63 โกยรายได้กว่า 1,615 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า และมีกำไรสุทธิกว่า 1,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 12 เท่า เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน อานิสงส์บุ๊กรายได้ขายโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศไทย 20 MW ให้ BCPG และในประเทศญี่ปุ่นอีก 42 MW ให้แก่นักลงทุนในประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์โตแกร่ง รับกระแสอี-คอมเมิร์ซโตไม่หยุด บิ๊กบอส "ยุทธ ชินสุภัคกุล" พร้อมปักหมุด"วินด์ฟาร์ม"เวียดนาม หนุนรายได้ทุบถสิติใหม่ต่อเนื่อง
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 3/2563 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 มีกำไรสุทธิ 1,220.554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,124.80 ล้านบาท หรือ 11.75 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 95.756 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 มีกำไรสุทธิรวม 1,398.400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,071.904 ล้านบาท หรือ 3.28 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 326.496 ล้านบาท
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 มีรายได้ราม 2,371.846 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,230.406 ล้านบาท หรือ 108% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 1,141.44 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการดำเนินงาน จำนวน 1,063.934 ล้านบาท และเป็นกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม 1,307.912 ล้านบาท โดยเป็นการขายโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ทั้ง 4 โรง ซึ่งประกอบด้วย โรงไฟฟ้าที่บ่อพลอย ขนาด 5 เมกะวัตต์ 2 โรง โรงไฟฟ้าลพบุรี ขนาด 5 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าปราจีนบุรี ขนาด 5 เมกะวัตต์ รวม 20 เมกะวัตต์ ให้กับบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) และการขายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 3 โรง ซึ่งประกอบด้วย โครงการ Kurihara 1 จำนวน 9.52 เมกะวัตต์ โครงการ Kurihara 2 จำนวน 12.24 เมกะวัตต์ และโครงการ Kyoto ขนาดกำลังการผลิต 9.99 เมกะวัตต์ รวม 31.75 เมกะวัตต์ ให้แก่ Blue Energy Capital GK และ Kurihara Taiyoukou Hatsuden GK ซึ่งเป็นนักลงทุนในประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้กำไรจากการจำหน่ายโครงการ Kyoto จะรับรู้ในไตรมาส 4/63
ขณะเดียวกันบริษัทฯยังอยู่ระหว่างการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 160 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนประมาณ 7 พันล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน คาดว่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในเดือนต.ค.64 มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของผู้ถือหุ้น (IRR) ในระดับ 20-25% ต่อโครงการ ซึ่งจะช่วยผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
"มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ของบริษัทฯในปีนี้จะเติบโตเกิน 50% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,103.73 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่สร้างรายได้ Recurring Income ที่ชัดเจนและแน่นอน และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตสูงอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต" นายยุทธ กล่าวในที่สุด
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit