สำนักงาน ก.ล.ต. อนุมัติคำขออนุญาตฯ บมจ.จักรไพศาล เอสเตท หรือ JAK พร้อมขายหุ้น จำนวน 82.71 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ต้นปี 64 หวังนำเงินระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาโครงการและหรือการลงทุนในที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ชำระคืนหนี้ธนาคาร และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ได้ ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ชูจุดเด่นคุณภาพของงานก่อสร้าง การจัดการระบบสุขาภิบาลอย่างเป็นระเบียบในทุกโครงการ การควบคุมต้นทุนด้วยเทคโนโลยี ดันอัตรากำไรขั้นต้นที่ผ่านมาสูงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมที่อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 30-35% เน้นจับกลุ่มลูกค้าหลักวัยเริ่มทำงาน กลุ่มบ้านหลังแรก และกลุ่มลูกค้าท้องถิ่น
นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ของ บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ JAK เปิดเผยว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้อนุมัติคำขอเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 82,709,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นร้อยละ 25.85 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในช่วงต้นปีหน้า
ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 เท่ากับ 320,000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 237,290,100 บาท คิดเป็นหุ้นสามัญ 237,290,100 หุ้น และภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนในครั้งนี้ ทำให้บริษัทฯ จะมีทุนชำระแล้วรวม 320,000,000 บาท แบ่งเป็นจำนวนหุ้นสามัญทั้งสิ้น 320,000,000 หุ้นโดยโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อันดับ 1 เป็นกลุ่มครอบครัวจักรไพศาล ถือหุ้นรวมกัน 93.47% โดยหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนลงเหลือ 69.30%
ด้านนายวีระพันธ์ จักรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ JAK ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคตะวันออก โดยมีบริษัทร่วม คือ บริษัท เอ็ม.ที.เอส พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (MTS) ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน โดยถือหุ้น 40% ร่วมกับบริษัท โกลเด้นท์ พาราไดซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้น 59.99% และนพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ถือหุ้น 0.0001%
สำหรับโครงการส่วนใหญ่ของบริษัทฯ มีราคาขาย 1 - 5 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่ กลุ่มลูกค้าวัยเริ่มทำงาน กลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีบ้านหลังแรก และกลุ่มลูกค้าท้องถิ่น (Local) บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับคุณภาพของงานก่อสร้างตลอดจนการจัดการระบบสุขาภิบาลอย่างเป็นระเบียบในทุกโครงการโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสุขและความประทับใจให้แก่ลูกค้า จึงทำให้โครงการของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง
"ตลอดเวลาที่ผ่านมาทีมบริหารใส่ใจในการบริหาร การควบคุมต้นทุนด้านต่างๆ รวมทั้งนำเทคโนโลยีมาใช้กับการก่อสร้างโครงการ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของ JAK อยู่ในระดับ 50% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ประมาณ 30-35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในระยะยาวบริษัทฯ ยังคงนโยบายรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ใกลัเคียงกับอัตรากำไรขั้นต้นในอดีต" นายวีระพันธ์กล่าว
ทั้งนี้บริษัทฯ มีโครงการในอนาคต 3 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,390.76 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการ FERN เฟสที่ 2 ซึ่งเป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น บนทางหลวงสาย 7 (มอเตอร์เวย์) จังหวัดชลบุรี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 4/2563 คาดว่าจะเริ่มขายไตรมาส 4/2563 และคาดว่าจะเริ่มส่งมอบในไตรมาส 1/2564, โครงการ Canna ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ ทาวน์เฮาส์และบ้านแฝดชั้นเดียว บริเวณอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี (โรงโป๊ะ) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 4/2563-ไตรมาส1/2564 เริ่มขายไตรมาส1/2564 และจะเริ่มส่งมอบไตรมาส2/2564, โครงการ Peony & Pine รังสิต ซึ่งเป็นโครงการทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.ปทุมธานี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างและเริ่มขายในส่วนทาวน์โฮมภายในปี 2564
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วงปี 60 - 62 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 56.13 ล้านบาท, 208.71 ล้านบาท และ 154.47 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไร(ขาดทุน)สุทธิเท่ากับ (0.21) ล้านบาท, 47.25 ล้านบาท และ 33.83 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่รายได้จากการขายงวด 6 เดือนของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้เท่ากับ 34.56 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 7.03 ล้านบาท นอกจากบริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัท หลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท
ข้อมูลบริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (JAK)
บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (JAK) ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ในเขต พื้นที่ในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล สระบุรี และภาคตะวันออก โดยบริษัทมีบริษัทร่วม คือ บริษัท เอ็ม.ที.เอส พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายเช่นเดียวกัน โครงการส่วนใหญ่ของบริษัทและบริษัทร่วมมีราคาขายประมาณ 1 - 5 ล้านบาท และมีขนาดเนื้อที่โครงการไม่เกิน 100 ไร่ กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทได้แก่ กลุ่มลูกค้าวัยเริ่มทำงาน กลุ่มลูกค้าที่อยากมีบ้านหลังแรก และกลุ่มลูกค้าท้องถิ่น (Local) บริษัทให้ความสำคัญกับคุณภาพของงานก่อสร้างตลอดจนการจัดการระบบสุขาภิบาลอย่างเป็นระเบียบในทุกโครงการโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสุขและความประทับใจให้แก่ลูกค้าจึงทำให้โครงการของบริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit