ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์การบริโภคเนื้อหมูในท้องตลาด พบการจับจ่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ลดลง เนื่องจากใกล้เข้าสู่เทศกาลกินเจ ในระหว่างวันที่ 17-25 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ผนวกกับภาวะฝนตกชุกในทุกพื้นที่ของประเทศไทย โดยอุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติชี้ว่าทั้งสองปัจจัยมีผลกระทบกับตลาดสุกรเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือเผยสามารถควบคุมโรคเพิร์ส (PRRS) ให้อยู่ในวงจำกัด แม้ว่าจะต้องมีต้นทุนสูงขึ้นตัวละกว่า 200 บาทก็ตาม แต่เกษตรกรยังพร้อมใจกันดูแลภาวะการผลิตให้มีปริมาณเพียงพอกับการบริโภค ด้านกรมปศุสัตว์ย้ำหมูไทยปลอดภัย ปลอดสาร ปลอดโรค สามารถบริโภคได้อย่างมั่นใจ แนะสังเกตสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK”
น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยถึงภาพรวมอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรในปัจจุบันว่า การผลิตสุกรยังคงเพียงพอกับการบริโภคในประเทศ ที่ปริมาณความต้องการมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลงานบุญกฐินในช่วง 1 เดือนหลังจากออกพรรษา แม้ว่ากำลังซื้อผู้บริโภคจะไม่มากเหมือนปีก่อนๆ จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงภาวะฝนตกชุกในหลายพื้นที่ ที่อาจกระทบกับการจับจ่ายบ้าง ตลอดจนเทศกาลกินเจที่จะเริ่มต้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ แต่เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะไม่กระทบกับตลาดสุกรในภาพรวม หรือหากกระทบก็ไม่นานนักก็น่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศ นอกจากนี้ จากการบริหารจัดการปริมาณสุกรภายในประเทศของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทำให้มีสุกรเพื่อการบริโภคของคนไทยอย่างเพียงพอ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ จึงเตรียมเสนอกรมปศุสัตว์ในการเปิดด่านด่านศุลกากรเชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อให้สามารถส่งออกสุกรไปยังตอนใต้ของประเทศจีน ที่ยังมีความต้องการบริโภคเนื้อสุกรอีกเป็นจำนวนมาก
“เชื่อว่าเทศกาลกินเจอาจกระทบกับราคาหมูในช่วงสั้นๆเท่านั้น คาดว่าแนวโน้มสถานการณ์หมูของไทยหลังจากนี้น่าจะสดใส จากความต้องการหมูของชาวจีนที่ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก ขณะที่ภาวะโรคสำคัญอย่าง ASF ที่เกิดขึ้นในจีน ยังคงกระทบกับปริมาณการผลิตหมูของจีน ทำให้มีหมูไม่เพียงพอกับการบริโภค และประเทศไทยที่ปลอดจากโรค ASF ประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชีย หมูไทยจึงเป็นที่ต้องการของจีนเป็นอย่างมาก นับเป็นโอกาสของเกษตรกรไทยในการส่งหมูคุณภาพดี ปลอดโรค ไปป้อนตลาดใหญ่อย่างประเทศจีน” น.สพ.วิวัฒน์ กล่าว
ด้าน นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ และประธานสหกรณ์ผู้เลี้ยงสุกรเชียงใหม่-ลำพูน กล่าวว่า สถานการณ์การผลิตหมูของเกษตรกรในภาคเหนือขณะนี้ ยังคงสามารถประคับประคองการเลี้ยงและการจำหน่ายได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการควบคุมและป้องกันโรคเพิร์ส ที่ระบาดในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งสามารถควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัดได้ จากความร่วมมือของเกษตรกรในการดำเนินการตามมาตรการของภาครัฐอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกัน เกษตรกรในพื้นที่ที่ยังไม่พบการระบาดต่างเร่งป้องกันโรคอย่างเข้มแข็ง จนสามารถป้องกันโรคนี้ได้ เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้บริโภค แม้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นถึงตัวละกว่า 200 บาทก็ตาม
“ขณะนี้โรค PRRS ที่เป็นปัญหาในช่วงก่อนหน้า เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว อย่างไรก็ตามพบว่าหลายพื้นที่มีปัญหาปริมาณหมูลดลง ไม่มีหมูออกขาย หรือบางฟาร์มต้องขายหมูตัวเล็กลง ขณะที่ช่วงกินเจอาจมีการบริโภคลดลงบ้างในช่วงสั้นๆ และปริมาณหมูก็ยังพอดีกับการบริโภค” นายสุนทราภรณ์ กล่าว
ส่วนมาตรฐานการผลิตสุกรที่ปลอดภัยนั้น อธิบดีกรมปศุสัตว์ น.สพ.สรวิศ ธานีโต ให้ข้อมูลว่า การผลิตสุกรของไทยมีพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการป้องกันโรคที่ถือเป็นแนวหน้าของภูมิภาคเอเชีย ตัวอย่างเช่นความสามารถในการป้องกันโรค ASF ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย จากความร่วมมือกันทุกภาคส่วน หมูไทยจึงเป็นหมูปลอดภัย ปลอดสาร ปลอดโรค ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หมูเพื่อการบริโภคได้อย่างมั่นใจ และแนะนำว่าควรเลือกซื้อจากสถานที่จำหน่ายเนื้อสัตว์ที่มีตราสัญลักษณ์ "ปศุสัตว์ OK" ทั้งในตลาดสด ร้านค้าเนื้อสัตว์ และห้างโมเดิร์นเทรด ซึ้งได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ ว่าจำหน่ายเนื้อสัตว์ที่ถูกสุขลักษณะที่ดี มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานทุกขั้นตอน ยิ่งช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี./
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit