นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) (ATP30) ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการรถรับส่งพนักงานจากแหล่งที่พักอาศัยในเขตชุมชนไปยังโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการโดยเฉพาะรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) เปิดเผยถึง ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2563 มีรายได้รวม 96.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่มีรายได้รวม 87 ล้านบาท จำนวน 9.94 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.42% และมีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.49 ล้านบาท จำนวน 6.51 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 186.53%
สาเหตุผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากหลังปลดล็อคดาวน์ ลูกค้ากลับมาดำเนินงานและใช้บริการรถรับส่งพนักงานใกล้เคียงเดิมแล้ว ขณะที่ธุรกิจรถรับส่งนักท่องเที่ยวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ที่น้อยมาก
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 287.02 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 345.18 ล้านบาท จำนวน 58.16 ล้านบาท หรือลดลง 16.85% และมีกำไรสุทธิ 18.95 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 36.08 ล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิค-19 ซึ่งมีผลกระทบกับการให้บริการของบริษัทโดยตรงในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการชะลอตัวของอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ โดยผลกระทบดังกล่าวเริ่มขึ้นในปลายไตรมาส 1/63 และรุนแรงสุดในไตรมาส 2/63
ขณะที่ แนวโน้มธุรกิจของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/63 ลูกค้ากลับมาใช้บริการรถรับส่งตามปกติ เป็นผลมาจากบริษัทพิจารณาลูกค้าที่มีศักยภาพ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบแต่ก็สามารถฟื้นตัวได้เร็ว และกลับมาใช้บริการรถรับส่งในปริมาณเท่าเดิมทุกราย อีกทั้งบริษัทมีลูกค้ากระจายในหลากหลายอุตสาหกรรม และทุกรายมีสัญญาระยะยาว
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนขยายฐานลูกค้าภาคตะวันออกเพิ่ม เนื่องจากธุรกิจรถรับส่งในภาคตะวันออก มีโอกาสการเติบโตอีกมาก จากผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ ซึ่งในช่วงที่มีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ผู้ที่ดำเนินธุรกิจรถรับส่งได้รับผลกระทบปิดตัวไปหลายราย ถือเป็นโอกาสที่ ATP30 จะนำเสนอบริการเพิ่มเติม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเซ็นสัญญากับลูกค้าใหม่ เตรียมให้บริการรถรับส่งกว่า 60 คัน คาดว่าจะเริ่มให้บริการและรับรู้รายได้ช่วงต้นปี 2564
"ธุรกิจของ ATP30 ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว บริษัทพยายามรักษากระแสเงินสดและสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในทุกด้าน พร้อมบริหารและควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 3/63 ขณะภาวะที่รายได้ยังไม่เท่าเดิม แต่บริษัทสามารถทำกำไรให้อยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ยต่อไตรมาสที่อยู่ในระดับ 11-12 ล้านบาทได้ ซึ่งหากรายได้กลับมาอยู่ที่ระดับปกติ เชื่อว่าบริษัทจะมีความสามารถในการทำกำไร ที่มีศักยภาพที่ดีมากขึ้น" นายปิยะ กล่าว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit