สอวช. ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันอนาคตไทยศึกษา ฉายภาพประเทศไทย 4 ระยะหลังเผชิญวิกฤตการณ์โควิด 19 พร้อมร่างประเด็นเชิงยุทธศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนประเทศหลังสถานการณ์คลี่คลาย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันอนาคตไทยศึกษา
จัดทำข้อมูลภาพประเทศไทย 4 ระยะภายหลังโควิด 19
พร้อมเสนอร่างประเด็นเชิงยุทธศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนประเทศหลังสถานการณ์คลี่คลาย
สอวช. ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันอนาคตไทยศึกษา
จัดทำข้อมูลภาพประเทศไทย 4 ระยะภายหลังโควิด 19 โดยแบ่งออกเป็น ระยะที่ 1 หรือ Restriction (เดือนที่ 1-6)
ระยะพยายามควบคุมการแพร่ระบาดของโลก ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในระยะนี้
และกำลังจะเข้าสู่ระยะที่ 2 หรือ Reopening (เดือนที่ 7-12) ระยะผ่อนคลายการควบคุมและเริ่มกลับสู่การประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม
ระยะที่ 3 หรือ Recovery (เดือนที่ 13-18) ระยะการฟื้นตัวและปรับตัวภายหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย
และระยะที่ 4 หรือ Restructuring (เดือนที่
19-อนาคต 5 ปีข้างหน้า)
ดร. กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. เปิดเผยว่า จากการหารือกับผู้ทรงคุณวุฒิทุกสัปดาห์เพื่อเตรียมความพร้อมในการฟื้นฟูประเทศหลังวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด
19 สอวช.
และมูลนิธิสถาบันอนาคตไทยศึกษา จึงได้รวบรวมข้อมูลและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อร่างประเด็นเชิงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับประเทศในการฟื้นฟูและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ซึ่งประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ คือ 1. Put
Human Security First: ปรับเปลี่ยนจาก “เศรษฐกิจ” เป็นตัวตั้งไปสู่
“ความมั่นคงมนุษย์” เป็นตัวตั้ง ผ่านการสร้างความมั่นคง 4 ด้าน
คือ ความมั่นคงทางด้านอาหาร รับประกันการเข้าถึงอาหารที่เพียงพอ
กระจายอย่างทั่วถึง และราคาที่เหมาะสมตั้งแต่ระดับครัวเรือนชุมชนถึงระดับประเทศ
ความมั่นคงทางสุขภาพ
ยกระดับและเพิ่มศักยภาพของระบบสาธารณสุขและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้มีอย่างเพียงพอ
พร้อมทั้งส่งเสริมทักษะสุขภาพให้กับประชาชน ความมั่นคงทางพลังงาน
จัดหาพลังงานให้มีอย่างเพียงพอ มุ่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนที่ยั่งยืน
และเพิ่มประสิทธิภาพการบริโภคพลังงาน และความมั่นคงทางอาชีพ
เสริมสร้างทักษะให้คนวัยทำงาน ลงทุนสร้างตำแหน่งงานใหม่รองรับอนาคต
และออกแบบระบบตาข่ายทางสังคมใหม่ให้รองรับแรงงานอิสระและนอกระบบ 2. Moving Beyond GDP: ปรับเปลี่ยนจากมุ่งเน้นการเติบโตของ
“GDP” ไปสู่ “Balanced Growth”กล่าวคือ
สร้างและพัฒนาชุดตัวชี้วัดใหม่ให้กับประเทศที่คำนึงถึงการเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน
เช่น SDGs ตลอดจนผลักดัน การขับเคลื่อนนโยบาย BCG
Economy (Bio-Circular-Green
Economy)
พัฒนาระบบนิเวศเพื่อเข้าสู่การค้าทางดิจิทัลและสังคมไร้เงินสด
ในด้านอุตสาหกรรมมุ่งเน้นเรื่อง High Value, High Production, Job Creation
และ Smart & Appropriate Technology มุ่งเน้นสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจท้องถิ่น
และพัฒนาเครื่องยนต์ที่จะมาใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอนาคต 3. Reinventing
in Education and Human Capital : ยกระดับคุณภาพการศึกษาและทุนมนุษย์
โดยการเพิ่มคุณภาพการศึกษา กระจายทั่วถึง ปรับโมเดลการเรียนรู้รองรับอนาคต
สร้างความเข้มแข็งให้มหาวิทยาลัย การเรียนการสอนผสมออนไลน์ ออฟไลน์และฝึกงาน
การวิจัยและพัฒนา และการพัฒนาปัญญาให้ประเทศและชุมชน มุ่งให้เกิดการลงทุน Reskill,
Upskill วัยทำงานให้ตอบโจทย์อนาคต
รวมถึงขับเคลื่อนการเรียนรู้ตลอดชีวิต 4. Leaving No
One Behind : แก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำทุกมิติ ทั้งเรื่องการแก้ไขความยากจนรายบุคคล
สร้างศักยภาพให้คนยากจน เปลี่ยนคนด้อยโอกาสเป็นคนได้โอกาส
ปรับระบบสวัสดิการใหม่ให้ครอบคลุม ใช้ Big Data ปรับใช้ UBI
(Universal Basic Income) และ Targeting
Welfare ตามความเหมาะสม โดยบัตรประชาชนใบเดียวควรตรวจสอบได้ทุกสิทธิ
ตลอดจนมีการพัฒนาระบบช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ 5. Create Open & Resilient Society : สร้างสังคมเปิดและยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง
ผ่านการมีระบบข้อมูลเปิดและรัฐบาลที่โปร่งใส
เปิดโอกาสให้ใช้พลังภูมิปัญญาทั้งสังคมพัฒนาชาติผ่าน Open Collaboration
Platform สร้างความเข้มแข็งให้ PPP รวมถึง Social
enterprise, Civil Society, จิตอาสา
รวมถึงเตรียมระบบบริหารจัดการวิกฤตที่มีประสิทธิภาพ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit