ลอรีอัล กรุ๊ป ได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ปี 2563 โดยมี ยอดขายลดลง -4.8%[1] ในขณะที่ตลาดเครื่องสำอางปรับตัวลงไปแล้วประมาณ -8% โดย ลอรีอัลยังสามารถทำธุรกิจได้ดีกว่าตลาดโดยรวม ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทั้งนี้ ผลประกอบการแต่ละแผนกธุรกิจมีความผันผวนต่างกัน แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง (L’Oreal Luxe) และแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ (Professional Products) ได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากการปิดห้างสรรพสินค้า ร้านขายน้ำหอม และร้านทำผม ในหลายประเทศ แต่แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค (Consumer Products) ยอดขายกระทบน้อยกว่า เพราะกิจกรรมในตลาดค้าปลีกสำหรับลูกค้ากลุ่มแมสยังคงมีอยู่ ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางยังคงยอดขายเติบโตขึ้นในอัตราเลขสองหลัก เพราะช่องทางจำหน่ายในร้านขายเวชภัณฑ์ยังคงเปิดให้บริการอยู่
ช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการขยายตัวที่สำคัญสำหรับ ลอรีอัล กรุ๊ป โดยเติบโตในอัตรา +52.6% และทำยอดขายคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 20% ของยอดขายรวม[2] ซึ่งวิกฤติในขณะนี้ทำให้ digital transformation เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น ซึ่งลอรีอัลมีการพัฒนาที่ดีเป็นอย่างยิ่ง โดยมีจุดแข็งในด้านอี-คอมเมิร์ซ และมีความเชี่ยวชาญในเรื่องสื่อดิจิทัล คอนเทนต์ และบริการต่าง ๆ ที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์แก่ผู้บริโภค
ภูมิภาคต่าง
ๆ ล้วนได้รับผลกระทบจากการปิดร้านค้า และการใช้มาตรการล็อกดาวน์
โดยเริ่มต้นที่จีนเป็นประเทศแรกตั้งแต่เดือนม.ค. และหลังจากนั้นก็มีการใช้มาตรการนี้ในประเทศอื่น
ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค.
และในอเมริกาเหนือตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค. สำหรับช่องทางค้าปลีกท่องเที่ยวนั้น
ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการจำกัดการเดินทางที่เข้มงวดทั่วโลก อย่างไรก็ดี
การใช้ผลิตภัณฑ์ความงามในจีนมีการฟื้นตัวที่น่าพึงพอใจ
มร. ฌอง-ปอล แอกง ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าวว่า “ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งพบครั้งแรกในจีน และแพร่กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น ภารกิจสำคัญอันดับหนึ่งของลอรีอัล กรุ๊ป คือการสร้างความมั่นใจและการปกป้องพนักงานของบริษัท โดยมีการจัดทำโครงการด้านความช่วยเหลือต่างๆ ทั่วโลก สำหรับผู้บริโภค พาร์ทเนอร์ของบริษัท และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข”
ในสภาวะที่สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงทุกวันและมาตรการล็อกดาวน์นั้น
มีผลกระทบต่อเนื่องอย่างชัดเจนต่อการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและความงาม ซึ่งส่งผลต่อธุรกิจของบริษัทในช่วงไตรมาสที่
2 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดในจีนได้แสดงให้เห็นว่า ความต้องการผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและความงามของผู้บริโภคยังคงมีอยู่
ดังนั้น ตลาดจึงน่าจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในทันทีที่มีการยกเลิกมาตรการปิดร้านค้า
“ในบริบทนี้ ปัจจัยด้านพื้นฐานของลอรีอัลมีความสำคัญยิ่งกว่าที่เคย โดยจุดแข็งของลอรีอัลนั้น อยู่ที่รูปแบบธุรกิจที่มีความสมดุล มีการดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางจัดจำหน่ายทุกช่องทางและทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ออกมาตรการที่เข้มงวดในส่วนการดำเนินงาน โดยงดการเพิ่มจำนวนพนักงานทั่วโลก ระงับการเดินทาง ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และวิเคราะห์ปัจจัยขับเคลื่อนธุรกิจและการลงทุนอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ ลอรีอัลยังมีงบดุลที่แข็งแกร่ง และด้วยพนักงานทั่วโลกมีความสามารถและมีความมุ่งมั่น พร้อมการพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง ทำให้บริษัทฯ สามารถปรับตัวเพื่อตอบรับกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในแต่ละประเทศ เราจึงมีความมั่นใจในความสามารถที่จะฝ่าฟันช่วงเวลาวิกฤตครั้งนี้ในสภาพการณ์ที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ และสามารถเร่งการเติบโตเมื่อสถานการณ์ในแต่ละภูมิภาคเอื้ออำนวย” มร. ฌอง-ปอล แอกง กล่าวเสริม
สรุปยอดขายตามภูมิภาค
สรุปภาพรวมในจีน
หลังจากที่เปิดต้นปีได้อย่างแข็งแกร่งก่อนช่วงเทศกาลตรุษจีน
การใช้มาตรการล็อกดาวน์หลังการแพร่ระบาด ทำให้ร้านค้าจำนวนมากต้องปิดทำการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจในเดือนก.พ.
แต่เดือนมี.ค.ก็มีสัญญาณของการฟื้นตัว โดยลอรีอัลสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นในเดือนมี.ค.
และทำยอดขายเป็นบวกในไตรมาสแรก บริษัทฯ ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น
ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์ความงาม การฟื้นตัวนี้เป็นผลมาจากการฟื้นฟูศักยภาพในการดำเนินงานอย่างรวดเร็วในเดือนก.พ.
การใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเพื่อสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย
รวมทั้งการปรับเปลี่ยนแผนดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อสนับสนุนกิจกรรมออนไลน์และ O+O
(ออนไลน์+ออฟไลน์) การให้ความสำคัญกับเทศกาลวันสตรีที่ช่วยกระตุ้นให้ยอดขายฟื้นตัว
ซึ่งในช่วงเทศกาลออนไลน์นี้
ลอรีอัล ประเทศจีน ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยแรงหนุนจากแบรนด์ ลอรีอัล
ปารีส ลังโคม สกินซูติคอลส์ เฮเลนา รูบินสไตน์ 3CE และ
เคเรสตาส
สรุปภาพรวมในเอเชียแปซิฟิก
ตลาดท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจากนักช้อปชาวจีนไม่ได้เดินทางเข้ามาในภูมิภาค ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ยังคงเปิดประเทศอยู่ในช่วงต้นปี แต่ตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นมา ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการล็อกดาวน์ที่ทำให้ธุรกิจในทุกตลาดปั่นป่วน อย่างไรก็ดี ยอดขายในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นในอัตราเลขสองหลัก และยอดขายในออสเตรเลียก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ตลาดสกินแคร์เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวได้มากที่สุด โดยแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางมียอดขายเพิ่มขึ้นมากทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะในจีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย แต่แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเนื่องจากการปิดร้านทำผมในตลาดทุกประเทศ ส่วนธุรกิจอี-คอมเมิร์ซยังคงเติบโตในอัตราสูงกว่า 60% โดยเฉพาะในจีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ไทย และอินโดนีเซีย [2]
สรุปภาพรวมค้าปลีกท่องเที่ยว
ตลาดค้าปลีกท่องเที่ยวมียอดขายที่ลดลงในทุกภูมิภาค
หลังจากที่มีการทยอยปิดสนามบินและร้านค้า และปราศจากการเดินทางโดยเครื่องบิน ดังนั้น
ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้ประกอบการร้านค้าปลอดภาษี
ลอรีอัลจึงอยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในแต่ละภูมิภาค
สรุปยอดขายตามแผนก
แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ยอดขายลดลง -10.5%
การเริ่มต้นปีได้ดี โดยเฉพาะแบรนด์ใหญ่ที่สุดคือ ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล ยืนยันได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจแผนกนี้กำลังก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม แต่การขยายตัวของแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพกลับหยุดชะงักทันทีในเดือนมี.ค. เมื่อมีการทยอยปิดร้านทำผมในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐ ขณะที่ยอดขายแบรนด์เคเรสตาสเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ป้องกันผมร่วงใหม่ในกลุ่ม Genesis และการฟื้นตัวของธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะในจีน แบรนด์นี้ยังได้รับแรงขับเคลื่อนจากช่องทางอี-คอมเมิร์ซของแผนกในทั่วโลก
ในฐานะพาร์ทเนอร์ที่สำคัญของกลุ่มช่างผม
แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพจึงให้การสนับสนุนกลุ่มช่างผมมากกว่าที่เคยเป็นในช่วงเวลาเช่นนี้
ด้วยการพักการชำระหนี้ให้กับร้านทำผมอิสระขนาดเล็กก่อนจนกว่าร้านทำผมเหล่านี้จะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง
และถัดมาคือการเพิ่มการให้บริการดิจิทัล โดยเปิดแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ผ่านออนไลน์ให้ช่างทำผมเข้ามาเรียน
และเตรียมสนับสนุนช่างทำผม ให้มีความพร้อมในการกลับมาเปิดให้บริการ
แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ยอดขายลดลง -3.6%
วิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบที่แตกต่างกันในวงกว้างต่อกลุ่มสินค้า ช่องทางจัดจำหน่าย ภูมิภาค และแบรนด์ ประเภทผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มเมคอัพ ซึ่งส่งผลให้ยอดขาย เมย์เบลลีน นิวยอร์ก และ นิกซ์ โปรเฟสชั่นแนล เมคอัพ ชะลอตัวลงชั่วคราวอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เริ่มต้นได้เป็นอย่างดีเมื่อช่วงต้นปี สินค้าในกลุ่มดูแลผิวหน้าชะลอตัวลงเช่นกัน แต่สินค้ากลุ่มทำความสะอาดผิวหน้า สุขอนามัย ดูแลเส้นผม และทำสีผมด้วยตนเอง กลับขยายตัวเร็วขึ้นด้วยผลพวงจากแบรนด์ การ์นิเย่ สถานการณ์ปัจจุบันยังเอื้ออำนวยต่อการขายปลีกในร้านสะดวกซื้อ และเร่งช่องทางอี-คอมเมิร์ซอย่างรวดเร็ว ซึ่งยอดขายในช่องทางอี-คอมเมิร์ซของแผนกนี้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสแรก
แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคได้กำหนดภารกิจหลัก
3
ข้อ เพื่อจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤติ และฟื้นตัวจากวิกฤตนี้ด้วยความแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา
อันดับแรก คือ การใช้ประโยชน์สูงสุดจากโอกาสในช่องทางอี-คอมเมิร์ซจากความเชี่ยวชาญพิเศษของลอรีอัลในจีน
และแผนเร่งการดำเนินการในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ข้อสองคือ การประยุกต์แผนการสื่อสารให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง
ด้วยการใช้ความจุดแข็งด้านดิจิทัลของเรา โดยความแข็งแกร่งของแบรนด์ต่าง ๆ ของเราบนโซเชียลมีเดียทำให้เราสามารถนำคอนเทนต์มาใช้ได้แบบเรียลไทม์
และยังคงสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด พร้อมกับควบคุมค่าใช้จ่าย ข้อสามก็คือ
การเพิ่มความเข้มข้นในแผนงานในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่กำลังมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
และบริหารทีมทั่วโลกเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเราจะมีวางจำหน่าย
แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง ยอดขายลดลง -9.3%
หลังจากที่เริ่มต้นด้วยความคึกคักมากในทุกภูมิภาค วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ต้องปิดร้านค้า และร้านจำหน่ายในสนามบินในตลาดหลัก ๆ ของเราทุกแห่ง โดยตลาดเอเชียเหนือ และช่องทางค้าปลีกท่องเที่ยวปิดทำการตั้งแต่เดือนก.พ. ตลาดอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตกปิดทำการตั้งแต่เดือนมี.ค. ธุรกิจจึงตกต่ำลงอย่างมาก ทั้งนี้ อี-คอมเมิร์ซยังคงขยายตัวสูงโดยเพิ่มขึ้น +57% [2] ทั่วโลก
กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เมคอัพ ขณะที่สกินแคร์และน้ำหอมกลับปรับตัวได้มากกว่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะ และการดูแลสุขอนามัยส่วนตัว ดังนั้น แบรนด์ใหญ่ ๆ ของเราที่มีสัดส่วนผลิตภัณฑ์สกินแคร์สูง เช่น คีลส์ ลังโคม จึงมียอดขายที่โตสวนทางกับตลาดอย่างเห็นได้ชัด การเปิดตัวน้ำหอมในปี 2562 ของเราก็ยังคงรักษาการเติบโตไว้ได้ เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์หลัก ๆ ของเรา และทำให้แบรนด์ระดับกูตูร์ของเรา อาทิ จิออร์จิโอ อาร์มานี่ อีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ และ ราล์ฟ ลอเรน ยังคงเติบโตสวนทางตลาดอย่างมาก
แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ยอดขายเพิ่มขึ้น +13.2%
ยอดขาย 2 ใน 3 ของแผนกนี้ผ่านทางร้านเวชภัณฑ์ และร้านขายยา โดยช่องทางเหล่านี้ ยังคงเปิดให้บริการตลอดช่วงเวลาวิกฤต โดยแบรนด์ผิวหนังหลัก ๆ ของเรา โดยเฉพาะ เซราวี และ ลา โรช-โพเซย์ มีความในการตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย และการดูแลผิวประจำวัน
แผนกนี้เติบโตในทุกภูมิภาค มียอดขายเพิ่มในอัตราเลขสองหลักในเอเชีย ด้วยแรงผลักดันมาจากจีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย แม้ว่าจะมีการปิดห้างสรรพสินค้า การเติบโตในจีนยังคงแข็งแกร่ง จากการใช้ช่องทางดิจิทัลของแบรนด์ และเติบโตอย่างโดดเด่นในอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นช่องทางจัดจำหน่ายอันดับหนึ่งของแผนกนี้
แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางได้เริ่มแผนงาน เพื่อเร่งการขยายธุรกิจอี-คอมเมิร์ซให้รวดเร็วขึ้น แบรนด์ ลา โรช-โพเซย์ เป็นแนวหน้าในการผลิตเจลล้างมือ และนำไปแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล สถานบริบาลผู้สูงวัย และร้านเวชภัณฑ์ที่เป็นพันธมิตร
ภาพรวมมาตรการของลอรีอัล กรุ๊ป ในสถานการณ์โควิด-19
ภารกิจที่สำคัญที่สุดของ
ลอรีอัล คือการปกป้องสุขภาพของพนักงานทั่วโลก พร้อมกับให้ความช่วยเหลือในภาคส่วนที่ต้องการ
บริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ มากมายทางด้านสุขภาพ เงินเดือน และเศรษฐกิจ
โดยโรงงานในเครือลอรีอัล
กรุ๊ป ทั่วโลก ที่มีหน่วยงานที่ผ่านการรับรองในการดูแลแอลกอฮอล์ และวัตถุไวไฟ ได้ทำการผลิตเจลล้างมือ
โดยมีโรงงาน 28 แห่ง ในยุโรป สหรัฐ ละตินอเมริกา
เอเชีย และแอฟริกา ที่ทำการผลิตเจลแอลกอฮอล์ให้ได้จำนวน 2,400 ตัน หรือ 14 ล้านยูนิต ภายในปลายเดือนพ.ค.นี้ นอกจากนี้ยังมีการบริจาคครีมบำรุงมือให้บุคลากรทางการแพทย์
และเริ่มโครงการด้านสุขภาพอื่นๆ ในอีกหลายประเทศ
ในส่วนมาตรการด้านเงินเดือนนั้น
ลอรีอัลคงการจ้างพนักงานและคงเงินเดือนสำหรับพนักงานลอรีอัลทั่วโลก
สำหรับมาตรการด้านเศรษฐกิจ
และการให้ความช่วยเหลือ ลอรีอัล เลือกให้ความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพที่เป็นร้านซาลอนรายย่อย
ให้สามารถเลื่อนการชำระหนี้ได้ จากภาวะการขาดแคลนกระแสเงินสดที่ลูกค้าอาจกำลังเผชิญอยู่
จนกว่าธุรกิจของร้านซาลอนจะฟื้นคืนกลับมา
[1] เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว: อิงตามขอบเขตของทั้งกลุ่มที่เปรียบเทียบได้ และอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
[2] ยอดขายที่เกิดขึ้นผ่านเว็บไซต์ของแบรนด์ + ยอดขายประมาณการณ์ที่แบรนด์ทำได้ ซึ่งสอดคล้องกับยอดขายผ่านเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซของร้านค้าปลีกของเรา (ข้อมูลที่ยังไม่สอบบัญชี)
เกี่ยวกับลอรีอัล กรุ๊ป
ลอรีอัลทุ่มเทในธุรกิจความงามมายาวนานกว่า 100 ปี โดยมีพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งประกอบไปด้วยกว่า 36 แบรนด์ ลอรีอัลกรุ๊ป มียอดขายผลิตภัณฑ์ 29.87 พันล้านยูโรในปี 2562 และมีพนักงานทั้งสิ้น 88,000 คนทั่วโลก ในฐานะองค์กรด้านความงามชั้นนำของโลก ลอรีอัลมีผลิตภัณฑ์จัดจำหน่ายผ่านทุกช่องทาง ครอบคลุมถึงตลาดมวลชน ห้างสรรพสินค้า เภสัชกรรมและร้านขายยา ซาลอน ร้านค้าในสนามบิน ร้านค้าปลีก และอี-คอมเมิร์ซ
ลอรีอัลยึดมั่นในกลยุทธ์ที่สำคัญขององค์กรในการค้นคว้าวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องโดยทีมงานวิจัย 4,000 คน มุ่งตอบสนองต่อความปรารถนาด้านความงามของผู้คนทั่วโลก ลอรีอัลมีพันธสัญญาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนสำหรับปี 2020 “Sharing Beauty with All” หรือ “แบ่งปันความงดงามให้ทุกสรรพสิ่ง” เป็นแนวทางกำหนดเป้าหมายเพื่อการพัฒนาในทุกภาคส่วนของลอรีอัลกรุ๊ป ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์กระบวนการผลิตและการจัดหาส่วนผสม ไปจนถึงการจัดจำหน่าย ในแต่ละปี ลอรีอัลจะรายงานความความก้าวหน้าของการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในรูปแบบที่สามารถวัดผลได้และโปร่งใส วันนี้ ลอรีอัลกรุ๊ปเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก ในเรื่องของการความมุ่งมั่นที่มีต่อความยั่งยืนและการตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย ข้อมูลเพิ่มเติม: www.loreal.com/loreal-sharing-beauty-with-all
เกี่ยวกับลอรีอัลประเทศไทย
ลอรีอัล ประเทศไทย เป็นสาขาของบริษัทผู้นำความงามของโลก นำเข้าและจัดจำหน่าย 22 แบรนด์ระดับสากล ใน 4 แผนกผลิตภัณฑ์;
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit