จากอิทธิพลของพายุโซนร้อนตาลัสและพายุโซนร้อนเซินกาที่เกิดระหว่างวันที่ 24-27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลได้ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตรของราษฎรหลายจังหวัดใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งจังหวัดสกลนคร มวลน้ำได้กัดเซาะทำนบดินอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นจนชำรุดเสียหาย ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้มีพระราชกระแสให้สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ(สำนักงาน กปร.) ประสานทุกหน่วยงาน ช่วยเหลือปรับปรุงอ่างเก็บน้ำแห่งนี้โดยเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกของราษฎร
นายประพิศ จันทร์มา รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า “พายุ 2 ลูกคือพายุโซนร้อนตาลัส และพายุโซนร้อนเซินกา ที่พัดผ่านเข้ามาบริเวณพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่จังหวัดสกลนคร ระหว่างวันที่ 24-27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ปริมาณน้ำฝนสะสมในพื้นที่วัดปริมาณได้ 245 มิลลิเมตร ในช่วงเวลา 20 ชั่วโมง ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้น 3.70 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่อ่างเก็บน้ำมีความจุเพียง 2.4 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้น้ำไหลข้ามทำนบดินและกัดเซาะทำนบดินขาด 2 ช่วง ที่ กรมชลประทานจึงได้เข้าไปซ่อมแซม โดยได้เริ่มลงมือทำงานในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560“
ต่อมาในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สำนักงาน กปร. ประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรีบดำเนินการแก้ไขปรับปรุงอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นให้ใช้การ ได้โดยเร็ว
“ เจ้าหน้าที่และข้าราชการกรมชลประทานทุกคน รับทราบความห่วงใยของในหลวงที่รับสั่งผ่านทางสำนักงาน กปร. ทุกคนช่วยกันระดมความคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะสกัดน้ำให้หยุดการกัดเซาะได้โดยเร็วเพราะทำนบดินขาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายได้ข้อสรุปว่าจะต้องทำเป็นทำนบดินปิดกั้นชั่วคราว (Coffer Dam) ทีมงานทำงานตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่หยุด ทั้งคนและเครื่องจักรเครื่องมือ เพื่อทำงานถวายพระองค์ท่าน ต่อมาในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ และนายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และได้เชิญพระราชกระแสของในหลวงที่ทรงห่วงใยพสกนิกร ให้ทุกคนในพื้นที่รับทราบอีกครั้ง และยังรับทราบว่าในหลวงทรงได้เฝ้าติดตามสถานการณ์และการทำงานของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา ทุกคนจึงล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้การดำเนินงานซ่อมแซมแล้วเสร็จ ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560 และสามารถเก็บกักน้ำได้ตามพระราชกระแส “
ด้วยพระเมตตาบารมี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชกระแสผ่านทางกองกิจการในพระองค์ แจ้งตามหนังสือกองกิจการในพระองค์ 904 ที่ พว 0005.1/3059 ลงวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีพระราชกระแส ดังนี้ “ ถือว่าเป็นความเร่งด่วนอย่างสำคัญและน่าจะตรวจระบบ อ่าง เขื่อน ฯลฯ ในพื้นที่นี้ต่อไป”
กรมชลประทานได้รับสนองพระราชกระแส โดยหลังจากที่ได้ดำเนินการก่อสร้างทำนบดินชั่วคราว (COFFER DAM)แล้ว ได้ทำการปรับปรุงทำนบดินห้วยทรายขมิ้นขึ้นใหม่ให้มีความมั่นคงแข็งแรงมากยิ่งขึ้นและเพิ่มปริมาณน้ำ เก็บกักจากเดิม 2.4 ล้านลูกบาศก์เมตรเป็น 3 ล้านลูกบาศก์เมตร นอกจากนั้นปรับปรุงระบบอาคารระบายน้ำล้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำ ปรับปรุงอาคารท่อส่งน้ำฝั่งขวาและฝั่งซ้ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับประชาชนในพื้นที่โครงการกรมชลประทานใช้เวลา 1 ปี ในการดำเนินการ และแล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2561 ใช้งบประมาณดำเนินการรวม 195 ล้านบาท แยกเป็นงบประมาณ กปร. 50 ล้านบาท และงบประมาณของกรมชลประทาน 145 ล้านบาท สำหรับในการบริหารการใช้น้ำ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการจัดการชลประทาน (JMC) เพื่อบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำห้วยทรายขมิ้น ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับราษฎรทุกฝ่ายในพื้นที่นอกจากนั้นกรมชลประทานยังได้ตรวจสอบอ่างเก็บน้ำ ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร และเข้าไปดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรงเพิ่มขึ้นอีก 22 แห่ง เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ
“ พระมหากรุณาธิคุณด้านการชลประทานนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงงานมาต่อเนื่องยาวนาน มีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่พระราชทานให้กรมชลประทานนำไปพิจารณาก่อสร้าง รวม 84 โครงการ ซึ่งกรมชลประทานได้ดำเนินการสนองพระราชดำริสำเร็จไปแล้วจำนวน 62 โครงการ โดยอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้น เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นอกจากการพัฒนาศักยภาพอ่างเก็บน้ำและทำนบให้มั่นคงแข็งแรงแล้ว กรมชลประทานยังปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณรอบพื้นที่ ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและร่มรื่นอีกแห่งในจังหวัดสกลนครและพื้นที่ใกล้เคียง สร้างรายได้ให้กับราษฎรในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี “