ซีบรา เทคโนโลยีส์ คอร์ปอเรชั่น (NASDAQ: ZBRA) ผู้นำด้านนวัตกรรมโซลูชั่นอันทันสมัย และเครือข่ายคู่ค้าอันครอบคลุมที่เสริมประสิทธิภาพให้องค์กรยุคใหม่ เผยผลสำรวจ Annual APAC Shopper Study ครั้งที่ 12 ซึ่งวิเคราะห์แผนการใช้เทคโนโลยีของกลุ่มผู้ค้าปลีกในทวีปเอเชียแปซิฟิกเพื่อปัญหาด้านการซื้อขายสินค้า โดยผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ผู้ค้าปลีกต่างกำลังมองหาเทคโนโลยีอย่าง ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Automation) การประมวลผลแบบคลาวด์ (Cloud Computing) และโมบิลิตี้ (Mobility) มาปรับใช้เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ
การกลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้งหลังการระบาดของ COVID-19 เป็นบททดสอบด้านความแข็งแกร่งของธุรกิจในการฟื้นตัวสำหรับผู้ค้าปลีก และซัพพลายเชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นนี้ ตรงกับแนวคิดที่เรียกว่า “Economy at Home” หรือ “เศรษฐกิจอยู่ติดบ้าน” ซึ่งกล่าวถึงวิธีที่ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อสินค้าไปอย่างสิ้นเชิง โดยเห็นได้จากการจำนวนการสั่งซื้ออาหารผ่านช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค หรือการที่ผู้บริโภคมีความต้องการที่จะขำระค่าสินค้าด้วยระบบชำระเงินแบบอัตโนมัติด้วยตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มระยะห่างจากพนักงานหน้าร้าน
การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของผู้บริโภคทำให้ผู้ค้าปลีกต้องเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับในการสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อเมื่อผู้ซื้อมาซื้อที่หน้าร้าน ซื้อโดยสั่งผ่านการจัดส่ง ซื้อโดยสั่งสินค้าออนไลน์แล้วรับที่หน้าร้าน (Click-and-collect หรือ Buy Online, Pickup In-Store – BOPIS) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น โดย 55% ของผู้บริโภคต้องการให้ผู้ค้าปลีกเพิ่มตัวเลือกการสั่งซื้อผ่านโทรศัพท์มือถือ ความต้องการนี้ทำให้กลุ่มผู้ค้าปลีกต้องปรับกลยุทธ์ในการจำหน่ายสินค้าและบริการใหม่ เนื่องจากมีเพียง 36% ของผู้ค้าปลีกที่ตอบแบบสอบถาม มั่นใจว่าหน้าร้านของพวกเขาสามารถทำตามคำสั่งซื้อทางเว็บไซต์ได้ โดยจากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า เทรนด์การซื้อในวิธีดังกล่าวจะยังมีต่อไป ส่งผลให้ผู้ค้าปลีกต้องใช้โซลูชั่นเพื่อช่วยลดการสัมผัสในร้าน และเพิ่มความสะดวกสบายของลูกค้าในเวลาเดียวกัน
คุณศิวัจน์ โรจนเต็มศักดิ์, ผู้จัดการประจำประเทศไทย, ซีบรา เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า “การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อธุรกิจค้าปลีกเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังบีบให้ร้านค้าทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ต้องหันมาประเมินความสามารถของตนในการให้บริการแบบ omnichannel รวมถึงปรับรูปแบบการดำเนินงานภายใต้กรอบเวลาเพียงไม่กี่วัน และในบางแห่งเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เราสังเกตได้ว่าผู้ค้าปลีกหลายรายได้ปรับปรุงพัฒนา 'Dark Stores’ ให้เป็นจุดกระจายสินค้าชั่วคราวภายในร้านค้า ดังนั้นผู้ค้าปลีกจึงควรให้ความสำคัญกับการขยายการให้บริการ Click-and-Collect และลงทุนกับเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว และความสะดวกในการซื้อสินค้าให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ซึ่งจะเป็นการลดความแออัดภายในร้าน ส่งเสริมมาตรการ social distancing พร้อมช่วยให้พนักงานสามารถมองเห็นสต็อกสินค้าได้สะดวกขึ้น”
แม้ว่าการใช้เทคโนโลยี อาทิ อุปกรณ์พกพามาเป็นตัวช่วยเพื่อลดความยุ่งยากของการจัดการและตรวจสอบสินค้าคงคลังของพนักงานดูจะเป็นวิธีการที่เหมาะสม จากผลสำรวจกลับพบว่า มากกว่า 64% ของหน้าร้านค้าไม่มีอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกเหล่านี้ให้พนักงานใช้
การระบาดใหญ่ที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้บริโภคใช้บริการ Click-and-Collect เพิ่มขึ้นมาก ทำให้ร้านค้าหลายแห่งมีความจำเป็นต้องให้บริการแบบไร้การสัมผัสอย่าง curbside pickup (การขับรถไปยังจุดรับของที่สาขาใกล้บ้าน จากนั้นพนักงานจะนำสินค้ามาส่งให้ถึงรถ) คู่กับแท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์พกพา โซลูชั่น mPOS (Mobile Point-of-Sale) อาทิ ET51 แท็บเล็ตระดับองค์กร, TC52 คอมพิวเตอร์จอทัชสกรีน, TC21 คอมพิวเตอร์จอทัชสรีน และ ZQ310 เครื่องพิมพ์พกพา สามารถผลักดันส่งเสริมกระบวนการทำงานแบบไร้การสัมผัส ผ่านการแจ้งเตือนพนักงานหน้าร้านเมื่อมีออเดอร์ออนไลน์ใหม่เข้ามา ช่วยให้พนักงานสามารถบรรจุ ติดฉลากสินค้า และพิมพ์ใบเสร็จให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่ลูกค้าจะมาถึงร้าน
มีการคาดการว่า การนำโซลูชั่น mPOS มาใช้งานจะเพิ่มขึ้นไปถึง 98% ภายในปี 2026 จาก 76% ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันกับการใช้คอมพิวเตอร์พกพาที่มีเครื่องสแกนในตัว โดยการใช้งานอุปกรณ์ชนิดนี้ของพนักงาน ก็อาจเพิ่มขึ้นไปถึง 96% ภายในปี 2026 จาก 75% ในปัจจุบัน
การคืนสินค้าถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาของลูกค้า และเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับผู้ค้าปลีก กว่า 51% ของกลุ่มผู้บริหารในอุตสาหกรรมค้าปลีก กล่าวว่าพวกเขาอยู่ในขั้นตอนวางแผนอัพเกรด และติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการคืนสินค้าซึ่งจะสำเร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี ขณะที่ 83% ของผู้ค้าปลีกในปัจจุบันมีระบบตรวจสอบสินค้าคงคลังอัตโนมัติอยู่แล้ว หรือกำลังอยู่ในขั้นตอนวางแผนนำมาปรับใช้ภายในปี เพื่อเพิ่มความแม่นยำของการตรวจสอบจำนวนสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์
ไฮไลท์ของเอเชียแปซิฟิก
ความเป็นมา และระเบียบวิธีของการสำรวจ
Annual Shopper Study ครั้งที่ 12 ของซีบรา มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามกว่า 6,300 คนทั่วโลก รวมถึงผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกว่า 1,200 คน (ผู้บริหารร้านค้าปลีก พนักงานร้านค้า และผู้ซื้อ) โดยเป็นการสำรวจทัศนคติ ความคิดเห็น และความคาดหวังที่กำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างของร้านค้าแบบเดิม และร้านค้าออนไลน์ ผลลัพธ์ที่สรุปไว้แบ่งออกเป็นสองส่วน ถือได้ว่าจำเป็นสำหรับผู้นำในอุตสาหกรรมที่มองหาข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำไปใช้สำหรับผู้ซื้อที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีในปัจจุบัน สามารถดูส่วนแรกของการสำรวจ ที่มุ่งเน้นไปที่ผู้บริโภคได้ที่นี่
เกี่ยวกับซีบรา เทคโนโลยีส์
ซีบรา (NASDAQ: ZBRA) เป็นผู้เพิ่มสมรรถนะในการทำงานให้อุตสาหกรรมค้าปลีก/ecommerce อุตสาหกรรมโรงงานการผลิต อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมด้านสุขภาพ และอื่น ๆ ผ่านการทำงานควบคู่ไปกับพันธมิตรกว่า 10,000 รายใน 100 ประเทศทั่วโลก ซีบรานำเสนอนวัตกรรมที่ตรงต่อความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงโซลูชั่นที่ช่วยเชื่อมต่อการทำงานระหว่างคน อุปกรณ์เครื่องมือ และข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้โซลูชั่นด้านการตลาดของซีบรายังช่วยยกระดับคุณภาพการบริการให้แก่ธุรกิจค้าปลีก ทำให้ติดตามระบุตำแหน่ง และบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างสะดวกรวดเร็ว พร้อมกับเสริมประสิทธิภาพของซัพพลายเชน และการดูแลผู้ป่วยในอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ ในปี 2020 ซีบราได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Global 2000 ของ Forbes เป็นปีที่สองติดต่อกัน และ Best Companies for Innovators ของ Fast Company’s
สามรถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.zebra.com ลงทะเบียนรับการแจ้งเตือน หรือติดตามข่าวสารได้ทางบล็อก Your Edge, LinkedIn, Twitter และ Facebook
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit