สถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอยูโพล) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่องความเครียดของคนกรุงฯ ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 จำนวนทั้งสิ้น 1,216 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1–30 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา พบว่า
ตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 51.9 เป็นหญิง และร้อยละ 48.1 เป็นชาย เมื่อจำแนกออกเป็นช่วงอายุ พบว่า ร้อยละ 17.7 มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 21.8 มีอายุ 25-35 ปี ร้อยละ 33.5 มีอายุ 36-50 ปี และร้อยละ 27.0 มีอายุมากกว่า 50 ปี ด้านสถานภาพสมรส พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 50.2 สมรสแล้ว ร้อยละ 42.1 เป็นโสด และร้อยละ 7.7 เป็นหม้าย/หย่า/แยกกันอยู่ ส่วนการศึกษาที่สำเร็จมาชั้นสูงสุด พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 61.5 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 32.2 ระดับปริญญาตรี และร้อยละ 6.3 ระดับสูงกว่าปริญญาตรี ส่วนรายได้ส่วนตัวเฉลี่ยต่อเดือน พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 22.3 มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท ร้อยละ 43.7 มีรายได้ 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 22.1 มีรายได้ 20,001-30,000 บาท และร้อยละ 11.9 มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาท สำหรับอาชีพ 3 อันดับแรก ได้แก่ ร้อยละ 27.1 อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน รองลงมาคือร้อยละ 26.3 อาชีพค้าขาย และร้อยละ 11.3 อาชีพค้าขายและนักเรียนนักศึกษาในสัดส่วนที่เท่ากัน
คนกรุงฯ กว่าร้อยละ 80 เครียดภายใต้สถานการณ์โควิด-19 …
ผลสำรวจดัชนีความเครียดประจำเดือนมิถุนายน 2563 ในภาพรวม พบว่า คนกรุงฯ ร้อยละ 83.1 มีความเครียดเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์โควิด-19 โดยความเครียดมาจากสาเหตุ
เกือบครึ่งรายได้ลดลงเพราะพิษเศรษฐกิจ …
จากสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนกรุงฯ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องปากท้องของประชาชน โดยผลที่ได้รับจากสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันคือ ทำให้รายได้ลดลง (ร้อยละ 45.2) ธุรกิจได้รับผลกระทบ (ร้อยละ 16.1) ไม่มีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (ร้อยละ 11.6) เป็นหนี้มากขึ้น (ร้อยละ 10.2) และไม่มีงานทำ (ร้อยละ 7.7)
ทุกเพศวัยเครียดเรื่องเศรษฐกิจมากที่สุด …
เมื่อพิจารณาความเครียดในแต่ละวัย พบว่า คนกรุงฯ ในช่วงวัยทำงานมีความเครียดเรื่องเศรษฐกิจ/การเงิน การงาน มากกว่าช่วงวัยอื่นๆ ส่วน GEN Z (ช่วงอายุ 15-18 ปี) เครียดว่าจะติดโรคโควิด-19 และเครียดเกี่ยวกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คนรัก หรือเพื่อน มากกว่าเรื่องอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ด้านสุขภาพ GEN B (อายุมากกว่า 50 ปี) เครียดเรื่องสุขภาพมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ ส่วนการใช้รูปแบบการดำเนินชีวิตที่ต่างจากเดิมหรือ New Normal ทุกช่วงวัยไม่ได้เครียดกับเรื่องดังกล่าวมากนัก เพราะทุกคนได้ยึดถือปฏิบัติตามแนวนโยบายของรัฐบาลมาระยะหนึ่งจนเกิดความเคยชินและถือว่าเป็นการใช้ชีวิตแบบปกติไปแล้ว
ดูแลสุขภาพตัวเองและยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นทางออกภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน…
จากผลการสำรวจพบว่า การวางแผนชีวิตในอนาคตข้างหน้าภายใต้สถานการณ์โควิด-19 คนกรุงฯ ส่วนใหญ่จะใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น (ร้อยละ 53.7) ใช้จ่ายประหยัด ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง (ร้อยละ 50.2) นอกจากนี้จะวางแผนการใช้เงินอย่างมีระบบ (ร้อยละ 49.2) ไม่ประมาท ไม่ไปสถานที่มีความเสี่ยง (ร้อยละ 40.1) และติดตามข่าวสารสถานการณ์ต่างๆ (ร้อยละ 35.9) นอกจากนี้ยังต้องหารายได้เพิ่ม ลด/ปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุน หรืออาจกู้ยืมเงินจากแหล่งต่างๆ ตลอดจนกลับไปทำงานที่ภูมิลำเนา เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตต่อได้ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit