ACG ฤกษ์ดีย้ายเทรด SET 1 ก.ค.นี้ เรียกความเชื่อมั่น ดึงสถาบันถือหุ้น สร้างเสถียรภาพพร้อมลุยธุรกิจใหม่ "FASTFIT" ศูนย์บริการฯรถยนต์ทุกยี่ห้อ

01 Jul 2020

บมจ. ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง หรือ ACG พร้อมย้ายหุ้นจากตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประเดิมวันที่ 1 ก.ค.นี้ ฟาก "คุณภานุมาศ รังคกูลนุวัฒน์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มั่นใจช่วยสร้างความเชื่อมั่นโดยเฉพาะกลุ่มสถาบัน และจะทำให้หุ้นมีเสถียรภาพมากขึ้น เดินหน้าลุยธุรกิจใหม่ “FASTFIT” ให้บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ทุกยี่ห้อ เพื่อขยายฐานลูกค้ากว้างขึ้น หนุนอนาคตเติบโตอย่างมั่นคง  

ACG ฤกษ์ดีย้ายเทรด SET 1 ก.ค.นี้ เรียกความเชื่อมั่น ดึงสถาบันถือหุ้น สร้างเสถียรภาพพร้อมลุยธุรกิจใหม่ "FASTFIT" ศูนย์บริการฯรถยนต์ทุกยี่ห้อ

นายภานุมาศ รังคกูลนุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ACG  เปิดเผยว่าการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ประกาศให้หุ้น ACG ย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดยานยนต์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่

1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป

"การย้ายหุ้นเทรดใน SET สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯที่เพิ่มขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มนักลงทุน โดยเฉพาะผู้ลงทุนสถาบัน "นายภานุมาศ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง คาดว่าจะสามารถเดินหน้าได้ตามแผนที่วางไว้ โดยจะเน้นในส่วนของงานบริการซ่อมบำรุง เนื่องจากจะเป็นธุรกิจช่วยสนับสนุนการเติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต ซึ่งจะเป็นธุรกิจใหม่ “FASTFIT” ให้บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ทุกยี่ห้อ เพื่อช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น  และด้วยเงินลงทุนที่ต่ำ จึงสามารถกระจายสาขาให้ทั่วภูมิภาคได้รวดเร็ว และเบื้องต้นวางแผนจะเปิด 3-5 สาขา ในจังหวัดภูเก็ต ด้วยเงินลงทุนรวมประมาณ 30-50 ล้านบาท และบริษัทฯคาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น

นอกจากนี้ บริษัทฯยังคงดำเนินการตามแผนที่วางไว้ โดยบริษัทฯมีเป้าหมายจะขยายสาขาให้ครบ 15 แห่ง ซึ่งจะพิจารณาตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ น่าจะทยอยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังจากที่ภาครัฐสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ได้แล้ว และคาดหวังว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะเริ่มกลับมาคึกคักได้อีกครั้งอย่างแน่นอน