ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับ อีโอเอ็น โปรดักชันส์ (EON Productions) ในภาพยนตร์สายลับฟอร์มยักษ์ เจมส์ บอนด์ (James Bond) ภาคที่ 25 ที่มีชื่อตอนอย่างเป็นทางการว่า "โน ไทม์ ทู ดาย" (No Time To Die) โดยทีมออกแบบไทรอัมพ์ได้ร่วมมือกับทีมงานสตั๊นของภาพยนตร์ดังกล่าว เพื่อปรับแต่งฟีเจอร์ต่าง ๆ ของรถจักรยานยนต์ รวมถึงการเตรียมการพิเศษของรถจักรยานยนต์ไทรอัมพ์สองรุ่น ได้แก่ "ไทเกอร์ 900" (Tiger 900) และ "สแครมเบลอร์ 1200" (Scrambler 1200) สำหรับการถ่ายทำฉากแอคชั่นยิ่งกว่าที่เคยมีมา
มร.นิค บลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ จำกัด เปิดเผยว่า "ไทรอัมพ์ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ (James Bond) ภาคล่าสุด "โน ไทม์ ทู ดาย" (No Time To Die) โดย ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่น่าทึ่งมาอย่างมากมาย ดังนั้นการร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งความร่วมมืออันน่าตื่นเต้น โดยมั่นใจว่ารถจักรยานยนต์ของเราเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ และความสามารถอย่างมหาศาล และเฝ้ารอการออกอากาศที่จะแสดงให้เห็นถึงพละกำลัง และสมรรถนะของรถจักรยานยนต์ในภาพยนตร์ดังกล่าว รวมถึงสมรรถนะอันน่าตื่นตาตื่นใจของรถจักรยานยนต์ไทรอัมพ์ "ไทเกอร์900" (Tiger 900) รุ่นใหม่ล่าสุดด้วย"
ด้าน มร.ลี มอร์ริสัน ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ ภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ เผยว่า "ไทรอัมพ์ได้ให้ต้นแบบรถจักรยานยนต์ ไทเกอร์ 900 (Tiger 900) แก่ทีมงานภาพยนตร์ก่อนเปิดตัว ดังนั้นเราจึงสามารถถ่ายทำใน 3 สถานที่สำคัญ ก่อนที่ไทรอัมพ์จะเผยโฉมรถจักรยานยนต์ ไทเกอร์ 900 ออกสู่สายตาสาธารณะชนอย่างเป็นทางการ ซึ่งเราทุ่มเทให้กับการถ่ายทำในหลากหลายสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น ฉากรถจักรยานยนต์ไต่หน้าผา ฉากปีนป่ายต่าง ๆ ฉากลุยโคลน ฉากกระโดดและฉากรถจักรยานยนต์วิ่งด้วยความเร็วสูง ซึ่งไทรอัมพ์ไทเกอร์ 900 สามารถแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะและความสามารถที่มีต่อการถ่ายทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยไม่แสดงให้เห็นถึงปัญหาเครื่องยนต์แต่อย่างใด ซึ่งสำหรับผมเองสิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่ารถจักรยานยนต์ของไทรอัมพ์สามารถขับขี่ไปได้ในทุกเส้นทางได้อย่างแท้จริง"
ทั้งนี้ ภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ "โน ไทม์ ทู ดาย" (No Time To Die) มีกำหนดฉายทั่วโลกในวันที่ 2 เมษายน ปี 2020 สำหรับประเทศอังกฤษผ่านทางบริษัท Universal Pictures International และสหรัฐอเมริกาในวันที่ 10 เมษายน ปี 2020 ผ่านทางบริษัท Metro Goldwyn Mayer Studios โดยUnited Artists Releasing