บล.ทิสโก้เผย หุ้นไทยเข้าสู่ “ภาวะหมี” แต่ดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1,340 จุด ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี น่าทยอยสะสมหุ้น ชี้นักลงทุนควร“กล้า” มากกว่า “กลัว” เพราะปัจจัยหนุนหุ้นยังมีอยู่มาก ทั้งพ.ร.บ.งบประมาณมีผลบังคับใช้ และธนาคารกลางสำคัญๆ ทั่วโลกพร้อมอัดฉีดเงินช่วยหากเศรษฐกิจชะลอตัวแรง
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) โดยเฉพาะนอกประเทศจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งเอเชีย, ยุโรป และตะวันออกกลาง สร้างความกังวลต่อผลกระทบเศรษฐกิจเป็นวงกว้างมากขึ้น กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยดิ่งลงแรง และถือว่าขณะนี้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ “ภาวะหมี” แล้ว หลังดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวลงหลุดระดับ 1,480 จุด หรือปรับตัวลงมากกว่า 20% จากที่เคยขึ้นสูงสุดที่ 1,850 จุดในช่วงต้นปี 2561
“จากการศึกษาความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงภาวะหมี (Bear Market) ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา จะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 190 วันทำการ หรือประมาณ 9 เดือนจนกว่าราคาหุ้นในตลาดจะแตะจุดต่ำสุด และจะปรับตัวลงโดยเฉลี่ย 36% จากจุดสูงสุด ถ้าอิงเวลาสูงสุดของภาวะหมีที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อาจเห็นจุดต่ำสุดของ SET Index ในช่วงปลายไตรมาส 2 เป็นอย่างช้าที่สุด หรือถ้าอิงตามค่าเฉลี่ยของการปรับตัวลงในภาวะหมีที่เคยเกิดขึ้น อาจได้เห็น SET Index แตะจุดต่ำสุดที่บริเวณ1,180-1,200 จุด” นายอภิชาติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากสังเกตภาวะหมีในอดีตที่ SET Index ปรับตัวลงหนักๆ หรือลดลงเกินกว่า 50% ขึ้นไป จะเป็นช่วงที่เกิดวิกฤติครั้งใหญ่ เช่น ในช่วงปี 2533 ที่เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซีย, ปี 2540 ที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง, ปี 2543 ที่เกิดวิกฤติ Dot-com และปี 2551 ที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ดังนั้น หากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นเพียงปัจจัยระยะสั้นที่ส่งผลกระทบชั่วคราวคล้ายกับโรค SARS ในปี 2545 ซึ่งไม่ได้นำไปสู่วิกฤติครั้งใหญ่เหมือนภาวะหมีที่เคยเกิดขึ้น บล.ทิสโก้คาดว่าการปรับตัวลงในภาวะหมีในครั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยอาจจะปรับลดลงจากจุดสูงสุดประมาณ 21-34% จะคิดเป็นระดับ SET Index ในกรอบ 1,220-1,460 จุด โดยมีค่าเฉลี่ยกลางอยู่ที่ 1,350 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับ SET Index ปิดสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ 1,340 จุด
นายอภิชาติ กล่าวว่า ถึงแม้การประเมินจุดต่ำสุดและระยะเวลาสิ้นสุดของตลาดหมีในแต่ละรอบไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จากการประเมิน SET Index ด้านอื่นๆ ประกอบ บล.ทิสโก้มองว่าหุ้นไทยในระดับปัจจุบันที่ 1,340 มีความน่าสนใจต่อการทยอยสะสมเพื่อการลงทุนอีกครั้งแล้ว เนื่องจาก 1. ราคาหุ้นค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี ซึ่งการคำนวณนี้นับรวมการปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยเพิ่มเติมอีก 3-4% หลังจากที่ต้นปีได้ปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไปแล้ว 5% 2. ส่วนต่างของผลตอบแทนตลาดหุ้นเทียบกับตลาดตราสารหนี้มีมากกว่า 4% ซึ่งมีโอกาสในการทำกำไรสูงถึงเกือบ 70% ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า 3. ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาแล้ว 8 เดือนติดต่อกัน (กรกฏาคม 2562 - กุมภาพันธ์. 2563) เท่ากับการปรับตัวลงสูงสุดในอดีต ดังนั้น หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ตลาดหุ้นไทยในเดือน มีนาคมควรจะเริ่มดีดกลับได้แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกอื่นมาหนุนตลาดหุ้นไทย ทั้งพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ที่จะเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่เดือน มีนาคมเป็นต้นไป และโอกาสที่ธนาคารกลางหลายแห่งพร้อมจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่ม (Dovish) หากแนวโน้มเศรษฐกิจเสี่ยงชะลอตัวรุนแรง ทำให้มองว่าถึงเวลาที่นักลงทุนควร “กล้า” มากกว่า “กลัว” แล้ว แนะนำนักลงทุนกลับมาเริ่มทยอยสะสมหุ้นแบบแบ่งไม้ซื้อ เน้นการซื้อแบบสม่ำเสมอ-ไม่รีบร้อน โดยเฉพาะช่วงตลาดผันผวนตั้งแต่ดัชนีหุ้นไทย ต่ำกว่า 1,350 จุดลงมา หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือน มีนาคม คือ AEONTS, BDMS, BTS, HMPRO, INTUCH, STEC, TOP และ TU ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,340 จุด แนวรับต่อมาคือ 1,320จุด และแนวรับสุดท้ายคือ 1,300 - 1,290 จุด ส่วนแนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,360-1,370 หากผ่านได้จะมีแนวต้านต่อไปที่ 1,400-1,415 จุด ตามลำดับ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit