เรืออากาศโท นายแพทย์กีรติกร ว่องไววาณิชย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า "เมื่อปี พ.ศ. 2562 ทางองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของโรคไมเกรน ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เกิดความทุพพลภาพ (disability) เป็นอันดับต้นๆของประชากรทั่วโลก โดยเฉลี่ยพบผู้ป่วยไมเกรนมากถึงร้อยละ 15 หรือประมาณ 1 พันล้านคนทั่วโลก พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 25 – 30 ปี และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายถึง 3 เท่า นอกจากนี้โรคไมเกรนยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความสูญเสียคุณภาพชีวิตและสมรรถภาพในการทำงาน
ไมเกรนเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้มีการส่งสัญญาณความปวดผ่านเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ทำให้เกิดอาการปวดที่บริเวณขมับ กระบอกตา และท้ายทอย อาการปวดมักจะเป็นลักษณะตุ้บ ๆ บริเวณขมับและท้ายทอย ระดับการปวดอาจรุนแรง ปานกลางไปจนถึงมาก และอาจส่งผลกระทบให้ไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ"
โดยระยะของโรคนี้สามารถจำแนกได้ด้วยระดับความปวดศีรษะ ซึ่งจะแบ่งเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย 1.ระยะนำ (Prodrome) 2.ระยะอาการเตือน (Aura) 3.ระยะปวดศีรษะ (Headache) 4.ระยะหลังจากปวดศีรษะ (Postdrome) อีกทั้งอาการปวดยังสามารถแบ่งเป็นชนิดย่อยตามความถี่ของอาการปวดศีรษะได้อีก 2 กลุ่มได้แก่ ไมเกรนแบบครั้งคราวคือ มีอาการปวดน้อยกว่า 15 วันต่อเดือน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ไมเกรนแบบเรื้อรังคือ มีอาการปวดมากกว่า 15 วันต่อเดือน ซึ่งควรต้องพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
สำหรับการรักษาในปัจจุบัน ทางการแพทย์ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และยังคงยกให้เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไป ซึ่งจุดมุ่งหมายในการรักษาจึงอยู่ที่การรับมือกับอาการปวด ไม่ว่าจะเป็นการรักษาทั้งแบบใช้ยาและไม่ใช้ยา เพื่อเป็นการรักษาให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น บรรเทาทุกข์ทรมานจากอาการปวดหัว และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถประกอบกิจวัตรต่าง ๆ ได้ตามปกติ
ในขณะเดียวกัน ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่อาการปวดเรื้อรัง ควรหมั่นสังเกตตัวเองให้ดี ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่น้อยกว่า 30 นาทีต่อครั้ง และหมั่นจดบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับความปวด อาทิ วัน เวลา ระยะเวลา ลักษณะอาการปวด อาหารที่รับประทาน รวมถึงความผิดปกติต่าง ๆ
หากผู้ป่วยมีอาการปวดหัวรุนแรงจนไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาแก้ปวด เป็นบ่อยขึ้น (มากกว่า 4 ครั้งต่อเดือน) ทานยาแล้วไม่หาย ควรที่จะไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับอาการ ซึ่งปัจจุบันมีคลินิกปวดศีรษะที่รักษาเฉพาะทางเกี่ยวกับโรคปวดศีรษะโดยเฉพาะ โดยเริ่มจากวิธีการคัดกรองอาการปวดศีรษะประเภทต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยที่ทันสมัย ที่จะช่วยในการวิเคราะห์ปัญหาได้ตรงจุด ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว ทั้งนี้คลินิกปวดศีรษะยังมีวิธีการรักษา เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะที่หลากหลายตามลำดับ ดังรายละเอียดด้านล่างนี้
1. การให้ยาแก้ปวดและยาป้องกันไมเกรนอย่างเหมาะสม ซึ่งมียาหลากหลายชนิด ทั้งแบบชนิดรับประทานและชนิดฉีด การใช้ยาจะขึ้นกับอาการและความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละคน โดยยากลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Calcitonin gene-related peptide หรือ CGRP สามารถใช้ได้ดีในผู้ป่วยไมเกรนชนิดเรื้อรังหรือดื้อต่อการรักษา
2. การรักษาโดยใช้ค็อกเทล หรือตัวยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อช่วยรักษาอาการปวดศีรษะเฉียบพลัน ซึ่งวิธีนี้จะดีกว่าการฉีดยาเพื่อลดอาการปวดตามปกติ เพราะวิธีการนี้ไม่เพียงช่วยให้อาการปวดทุเลาลง แต่ยังช่วยลดการปวดศีรษะซ้ำภายใน 24 ชั่วโมงได้อีกด้วย
3. การทำหัตถการทางการแพทย์เพื่อลดอาการปวดศีรษะ เช่น การฉีดยาเข้าไปบริเวณเส้นประสาทหลังท้ายทอย (Occipital Nerve Block) หรือการฉีดโบทูลินัมท็อกซิน
4. การรักษาด้วยการกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า (neurostimulation) โดยคลื่นแม่เหล็ก (Transcranial Magnetic Stimulation; TMS) หรือ กระแสไฟฟ้าตรง (Transcranial Direct Current Stimulation : TDCS) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบความปวดภายในสมอง จัดว่าเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยมีผลข้างเคียงน้อยเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยวิธีการอื่น
5. การรักษาแบบไบโอฟีดแบค (Biofeedback) เป็นเทคโนโลยีการรักษาที่ช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย สามารถรับรู้สัญญาณการทำงานจากอวัยวะต่าง ๆ ในสถานการณ์เครียด โกรธ เจ็บปวด ผ่อนคลาย มีความสุข และนำการรับรู้ดังกล่าวมาปรับใช้ และควบคุมร่างกายตนเองให้ดีขึ้น
"สุดท้ายนี้แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของอาการปวดไมเกรน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยป้องกันตัวเองจากอาการปวดหัวได้ดีที่สุด ด้วยการหมั่นสำรวจและดูแลตนเอง พักผ่อนให้เพียงพอและตรงตามเวลาทุกวัน ไม่ควรซื้อยาแก้ปวดรับประทานเอง พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เลี่ยงปัจจัยเสี่ยงในการเกิดไมเกรนให้น้อยที่สุด และยังช่วยยับยั้งอีกสารพัดโรคที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้อีกด้วย" เรืออากาศโท นายแพทย์กีรติกร กล่าว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit