กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) เตรียมจ่ายเงินปันผลและจ่ายคืนเงินทุน รวม 0.215 บาท/หน่วย วันที่ 13 มี.ค. นี้

18 Feb 2020
นายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ กองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) ประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 25 ในอัตรา 0.181 บาทต่อหน่วย และจ่ายคืนเงินทุนครั้งที่ 7 ในอัตรา 0.034 บาทต่อหน่วย หรือรวมแล้วจ่ายเงินปันผลพร้อมจ่ายคืนเงินทุนเป็นเงินทั้งสิ้น 0.215 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2562/63 หรือระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2562 โดยจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหน่วยลงทุนในการรับเงินปันผลและรับคืนเงินทุน ในวันที่ 13 มีนาคม 2563 ที่จะถึงนี้
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) เตรียมจ่ายเงินปันผลและจ่ายคืนเงินทุน รวม 0.215 บาท/หน่วย วันที่ 13 มี.ค. นี้

เมื่อนับรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุน BTSGIF จนถึงการประกาศจ่ายเงินปันผลและจ่ายคืนเงินทุนครั้งนี้ พบว่า BTSGIF จ่ายเงินปันผลรวม 25 ครั้ง คิดเป็นเงิน 4.342 บาทต่อหน่วย และจ่ายคืนเงินทุน 7 ครั้ง เป็นเงิน 0.719 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5.061 บาทต่อหน่วย

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2562/63 กองทุน BTSGIF มีรายได้รวม 1,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้จากเงินลงทุนในสัญญาซื้อและโอนสิทธิรายได้สุทธิจากการดำเนินงานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพสายหลักตามสัญญาสัมปทานเติบโตขึ้น 4.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาสนี้ รายได้ค่าโดยสาร อยู่ที่ 1,815.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากจำนวนผู้โดยสารที่เติบโตจากการเปิดสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ส่วนใต้จากสถานีสำโรงถึงสถานีเคหะฯ ในเดือนธันวาคม 2561 และส่วนเหนือจากสถานีหมอชิตถึงสถานีห้าแยกลาดพร้าวในเดือนสิงหาคม 2562 จากนั้น ก็ขยายถึงสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในเดือนธันวาคม 2562 แต่บางส่วนถูกหักลบกับการให้ผู้โดยสารที่เดินทางฟรี เนื่องในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 10 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562

ขณะที่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมไตรมาส 3 ปี 2562/63 เท่ากับ 545.8 ล้านบาท ลดลง 5.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเกิดจากค่าใช้จ่ายพนักงานลดลง เนื่องจากปันส่วนค่าใช้จ่ายลดลงจากการเปิดส่วนต่อขยายสายสีเขียว ซึ่งทำให้เกิดการประหยัดจากขนาด (Economy of scale) ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ ลดลง จากค่าซื้อบัตรโดยสารที่ลดลง และการเลื่อนเรียกเก็บเงินค่าทดสอบสิ่งแวดล้อม แต่บางส่วนถูกหักกลบกับรายจ่ายฝ่ายทุนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าปรับปรุงระบบจัดเก็บค่าโดยสาร 31.5 ล้านบาท และค่าปรับปรุงคลื่นวิทยุ 19.8 ล้านบาท

ส่วนรายได้จากการลงทุนสุทธิ อยู่ที่ 1,256.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้รวม ส่วนอัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 98.6% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 98.2% อย่างไรก็ดี ในไตรมาสนี้ กองทุนรับรู้ขาดทุนสุทธิจากการวัดมูลค่าเงินลงทุน 208 ล้านบาท เนื่องจากมูลค่าเงินลงทุนในสัญญาซื้อและโอนสิทธิรายได้สุทธิตามมูลค่ายุติธรรมลดลง 200 ล้านบาท จากระยะเวลาคงเหลือของสิทธิในรายได้สุทธิตามสัญญาสัมปทานลดลง และการบันทึกเงินลงทุนในสถานีศึกษาวิทยา (S4) 7.9 ล้านบาท โดยมูลค่าเงินลงทุนในสัญญาซื้อและโอนสิทธิรายได้สุทธิ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 58,300 ล้านบาท จาก 58,500 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562

ทั้งนี้ มูลค่าทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่กองทุนลงทุนในปัจจุบันจะลดลงตามอายุของสิทธิในรายได้สุทธิตามสัญญาสัมปทานที่จะหมดอายุในปี 2572 และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาตามสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิดังกล่าวที่กองทุนได้ลงทุน มูลค่าหน่วยลงทุนจะลดลงจนถึงศูนย์บาท

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

HTML::image(