"ความเข้มงวดเข้มแข็งยังคงต้องทำกันอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อมในแง่ของค่าชดเชยให้แก่เกษตรกรหากพบ ASF โดยได้รับความร่วมมือสนับสนุนเงินจากทุกฟาร์ม และทุกบริษัท อาทิ ซีพีเอฟ เบทาโกร ไทยฟู้ด ช่วยสร้างความมั่นใจและอุ่นใจแก่ผู้เลี้ยงทุกคน" นายสุรชัยกล่าวและว่าเงินลงขันดังกล่าวจะเข้าบัญชี "กองทุนต่อต้าน ASF" เพื่อจูงใจให้เกษตรกรรีบแจ้งหากมีการพบโรคเพื่อภาครัฐจะขีดวงจำกัดความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมของผู้เลี้ยงสุกรทุกคน
อย่างไรก็ตาม แม้จะประเทศไทยจะมีความกังวลเกี่ยวกับ ASF แต่ยังมีข่าวดีของวงการสุกรไทย เมื่อ ASF ส่งผลให้หลายประเทศต้องทำลายสุกรไปแล้วหลายล้านตัว สิ่งที่ตามมาคือปริมาณผลผลิตเนื้อสุกรไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปถึงตลาดฮ่องกงด้วย เนื่องจาก 90% ของเนื้อสุกรที่บริโภคกันในฮ่องกงนั้นนำเข้าจากประเทศจีน
"ขณะนี้ตลาดส่งออกเนื้อสุกรของไทยกำลังสดใสมากเพราะสุกรของไทยเป็นที่ต้องการของทุกตลาดที่ขาดแคลน รวมถึงฮ่องกงด้วย เห็นได้จากยอดคำสั่งซื้อจากฮ่องกงในเดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 40% ในระดับราคาที่สูงขึ้นมาก" นายสุรชัยกล่าว
สำหรับบริษัทผู้ผลิตเนื้อสุกรในประเทศไทยที่ผ่านการตรวจสอบจากฮ่องกงให้สามารถส่งออกเนื้อสุกรไปจำหน่ายยังฮ่องกงได้นั้น ประกอบด้วย ซีพีเอฟ เบทาโกร และผู้ประกอบการที่ได้รับมาตรฐานส่งออกอีก 2-3 ราย ซึ่งโดยปกติฮ่องกงจะนำเข้าเนื้อสุกรจากไทยในรูปแบบสินค้าพรีเมี่ยมภายใต้แพ็คแบรนด์ของแต่ละบริษัท และจากสถานการณ์ขาดแคลนเนื้อสุกร ทำให้ปัจจุบันฮ่องกงมีคำสั่งซื้อเนื้อสุกรไทยเพิ่มขึ้นในรูปแบบ "สุกรซีกแช่เย็น" โดยมีระดับราคาที่ดีมากเป็นประวัติการณ์
สำหรับตัวเลขส่งออกเนื้อสุกรไปฮ่องกงในปี 2018 อยู่ที่ 1,408 ตัน ขณะที่ยอดส่งออกในครึ่งปีแรกของปี 2019 อยู่ที่ 895 ตัน และเมื่อความต้องการสุกรซีกยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการคาดการณ์ตัวเลขยอดส่งออกเนื้อสุกรไปฮ่องกงตลอดปี 2019 ได้สูงถึง 2,500 ตัน หรือเกือบเท่าตัวทีเดียว
"ตลาดฮ่องกงจะสดใสอย่างต่อเนื่องแบบนี้ไปอีก 1 - 2 ปี จนกว่าประเทศจีนจะแก้ไขปัญหา ASF ได้สำเร็จ และเมื่อถึงวันนั้น หากเนื้อสุกรของไทยเราเป็นที่นิยมของชาวฮ่องกงไปแล้ว เชื่อว่าประเทศไทยจะยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดฮ่องกงไว้ได้ในระยะยาว" นายสุรชัยกล่าวทิ้งท้าย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit