แม้ว่าระดับหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2562 ของไทยจะอยู่ในระดับสูง แต่ถือได้ว่าลดลงเมื่อเทียบกับระดับหนี้ครัวเรือนที่เคยสูงสุดที่ร้อยละ 81.2 ต่อ GDP เมื่อปี 2558 กระทรวงการคลังประเมินว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังไม่เป็นประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจาก (1) หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน เช่น ที่พักอาศัย รถยนต์ ซึ่งหากมองว่าหนี้เหล่านี้เป็นไปเพื่อการสะสมความมั่งคั่งในรูปสินทรัพย์และเพื่อการลงทุนทำธุรกิจหารายได้แล้ว ก็จะส่งผลดีต่อความมั่นคงทางทรัพย์สินและรายได้ของครัวเรือนด้วย (2) หนี้ครัวเรือนบางส่วนใช้เพื่อประกอบธุรกิจของครัวเรือน ซึ่งถือเป็นสินเชื่อที่สร้างรายได้ให้ครัวเรือน โดยเมื่อหักสินเชื่อธุรกิจนี้ออก ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยจะลดลงอยู่ที่ 65.8 ของ GDP (3) สัดส่วนหนี้ครัวเรือนเพื่อการบริโภค เช่น สินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิต อยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 6.3 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด (4) สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ของหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่ต่ำที่ร้อยละ 3.3 ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2562
อย่างไรก็ตาม สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยอย่างใกล้ชิด เพราะหากหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงมากเกินไปอาจจะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของระดับครัวเรือน และเสถียรภาพของเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะให้ความสำคัญในการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน และใช้จ่ายให้เหมาะสมกับตนเองอย่างจริงจังและทั่วถึง ปัจจุบัน ธนาคารออมสินได้ดำเนินโครงการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารการเงิน การออม และบัญชีพอเพียง ผ่านโครงการการออมและการบริหารหนี้ที่สมดุลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีมีสุข และโครงการสำหรับเด็กและเยาวชนในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ผ่านโครงการธนาคารโรงเรียน และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีโครงการให้ความรู้ทางการเงินแก่เกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศผ่านโครงการสร้างสังคมแห่งปัญญาผ่านศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธ.ก.ส. ซึ่งมีหลักสูตรการทำบัญชีครัวเรือน การสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ การออม การชำระหนี้ ความรู้ในการประกอบอาชีพที่เหมาะสม การดำเนินโครงการธนาคารโรงเรียน นอกจากนี้ จะให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเข้ามามีบทบาทในการดูแลการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้น