วันนี้ ( 11 กันยายน 2562 )นายแพทย์กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาล (รพ.) จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ จ.นครราชสีมา ให้สัมภาษณ์ว่า ต้นเหตุปัญหาสุขภาพจิตหรือการเจ็บป่วยทางจิตล้วนมีต้นตอมาจากความเครียด จึงพัฒนาให้รพ.จิตเวชนครราชสีมาฯเป็นที่พักใจของผู้ป่วยจิตเวชในเขตสุขภาพที่ 9 อย่างแท้จริง เมื่อก้าวเข้ามาใช้บริการแล้วจะมีความสบายใจ มีความสุข โดยได้นำการยิ้ม มาเสริมคุณภาพบริการ ส่งเสริมให้บุคลากรทุกคนยิ้มทักทายกันเพื่อสร้างความสุข เสมือนชาร์จแบ็ตเติมพลังบวก สร้างบรรยากาศเป็นมิตร และยังนำมาใช้เป็นเครื่องมือดูแลฟื้นฟูผู้ป่วย โดยที่แผนกผู้ป่วยนอก ทุกเช้าเจ้าหน้าที่จะจัดกิจกรรมสอนผู้ป่วยและญาติ เช่นการคลายเครียดด้วยการแพทย์แผนไทย ฝึกการยิ้มเพื่อบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า และให้ความรู้ด้วยภาษาถิ่นที่ผ่อนคลายและสนุกใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ส่วนที่แผนกผู้ป่วยในจะกระตุ้นให้ผู้ป่วยยิ้มบ่อยๆ เพื่อฟื้นฟูด้านจิตใจและสังคม โดยเฉพาะในรายที่ซึมเศร้า ซึ่งมีผลวิจัยพบว่าช่วยให้ฟื้นตัวหายป่วยได้ดีขึ้น
นายแพทย์กิตต์กวีกล่าวว่า การยิ้มเป็นความรู้สึกอย่างเดียวที่ทำให้ระบบภายในผ่อนคลาย การยิ้มใช้กล้ามเนื้อใบหน้าเพียง 2 มัด คือกล้ามเนื้อไซโกเมติก เมเจอร์ ( Zygomatic major) ช่วยดึงมุมปากทั้ง2 ข้างให้ยกขึ้นไปหาโหนกแก้ม และกล้ามเนื้อออร์บิคิวลาริส ออคิวไล( Orbicularis Oculi ) จะช่วยดึงเนื้อแก้มและเบ้าตาให้ยกขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อใบหน้าเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นรอยยิ้ม มีผลให้เลือดแดงไปเลี้ยงที่สมอง อุณหภูมิในสมองจะลดลง เกิดความรู้สึกสบาย ผลงานวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่าการยิ้มมีผลให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน(Endorphin)หรือสารแห่งความสุขออกมาเป็นวงจรอัตโนมัติ ทำให้อารมณ์แจ่มใส ระบบต่างๆในร่างกายจะผ่อนคลาย ขณะเดียวกันจะมีผลให้ร่างกายลดการหลั่งสารอดรีนาลิน(Adrenalin)หรือสารแห่งความเครียด ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง ผ่อนคลายความเครียด ทำให้ไม่ป่วยง่ายและหายป่วยเร็ว จึงสามารถนำการยิ้มมาใช้สร้างสุขภาพจิตตัวเองแบบง่ายๆใกล้ตัว เมื่อจิตใจดีสุขภาพกายจะดีตามไปด้วย
ทั้งนี้คนเราจะยิ้มเมื่อมีความสุข การยิ้มจัดเป็นยารักษาความงามตามธรรมชาติได้ด้วย ช่วยชะลอความเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ใบหน้าได้ออกกำลัง ไม่ได้ทำให้รอยตีนกาเพิ่ม และยังเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถใช้การยิ้มนี้ในสถานการณ์ที่คับขันได้ จะช่วยเพิ่มความกล้าในจิตใจ มีพลังเอาชนะอุปสรรคมากขึ้น การยิ้มที่ดีนั้นจะต้องยิ้มทั้งปากและตา โดยให้มองตากันค้างไว้อย่างน้อย 3 วินาที เรียกว่ายิ้มแบบจริงใจ นักมานุษยวิทยาสังเกตุพบว่าคนจะเห็นรอยยิ้มได้ชัดแม้อยู่ห่างกัน 45 เมตร ทั้งนี้การยิ้มที่ดีจะต้องถูกที่ ถูกเวลาและถูกกาลเทศะด้วย
"อย่างไรก็ดี สภาพสังคมในยุคดิจิตอลขณะนี้ มีประเด็นที่น่าห่วง เนื่องจากประชาชนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก ต่างคนต่างก้มหน้าดูสรรพสิ่งบนจอมือถือตัวเอง การยิ้มที่เกิดขึ้นก็จะอยู่ในลักษณะยิ้มกับมือถือของตัวเองคนเดียวคือสายตาทั้งคู่จ้องดูที่หน้าจอมือถือ ไม่ได้ยิ้มสบตากับคนอื่นๆเหมือนในอดีต ขณะเดียวกันก็อาจจะได้รับการยิ้มตอบจากผู้อื่นลดลงไปด้วย เพราะไม่ได้ยิ้มสบตาหรือทักทายกับใครก่อน จึงเชื่อว่าหากทุกคนส่งรอยยิ้มแย้มแจ่มใสให้กัน จะทำให้สังคมไทยในยุคดิจิตอล อบอุ่นขึ้น " นายแพทย์กิตต์กวีกล่าว
สำหรับวิธีการกระตุ้นให้มีรอยยิ้ม ประชาชนสามารถทำได้ 5 วิธีง่ายๆดังนี้ 1.ให้นึกถึงเรื่องตลกในอดีตที่ทำให้เราขำ หัวเราะ 2. พูดคุยเรื่องสนุกสนานในหมู่เพื่อนที่สนิทคุ้นเคยหรือคนในครอบครัว 3. อ่านหนังสือประเภทชวนหัวเราะ ขำขันหรือดูหนัง ละครประเภทตลก เฮฮา 4. ฝึกโดยใช้วิธีการเตือนตัวเองเช่นยิ้มหลังตื่นนอนทุกวัน ยิ้มทุกครั้งเมื่อพบหน้าคนใกล้ชิด ยิ้มก่อนออกจากบ้าน หรือทุกครั้งเมื่อเข้าที่ทำงาน เป็นต้น และ5 .ให้ใช้วิธีให้เพื่อนส่งเรื่องสั้น หรือรูปภาพ หรือคลิปภาพที่ตลก ขำขัน ให้ทางไลน์ (LINE) ก็ได้ ช่วยสร้างรอยยิ้มให้ได้เช่นกัน แต่ควรฝึกข้อ 1-4 เสริมกันไปด้วย โดยทุกครอบครัวควรปลูกฝังการยิ้มให้ลูกหลานตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จะทำให้เด็กมีแนวโน้มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ยิ้มแย้ม สุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพจิตดีในอนาคตด้วย
HTML::image( HTML::image( HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit