นายเปรม เพทซ ผู้จัดการฝ่ายขายแผนก PCMM บริษัท เฮกซากอนเมโทรโลจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า อุตสาหกรรมอากาศยานเป็นอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะโตเร็วที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยด้านการผลิตและซ่อมบำรุงคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.4 ขณะที่ด้านการขนส่งทางอากาศคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 2.8 การผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน จึงเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง การลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าสูง เนื่องจากเครื่องบินถือเป็นระบบขนส่งที่มีความปลอดภัยสูงสุด ต้องการความแม่นยำในการผลิตที่สูงในทุกกระบวนการ และผ่านการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานระดับโลก การลงทุนในด้านเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินที่ได้มาตรฐานถือเป็นข้อคำนึงที่สำคัญที่สุดของผู้ประกอบการที่พร้อมจะก้าวเข้ามาคว้าโอกาสจากอุตสาหกรรมมาแรงนี้ การผลิตเครื่องบิน เครื่องยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ที่ใช้ในอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบิน ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการผลิตเครื่องบินทุกลำ และจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานอย่างละเอียด
เฮกซากอนในฐานะผู้นำเทคโนโลยีการตรวจวัดคุณภาพมาตรฐานการผลิต เตรียมส่งนวัตกรรมเครื่องตรวจวัดคุณภาพของชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อขานรับยุทธศาสตร์การผลักดันอุตสาหกรรมอากาศยานเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยล่าสุดเฮกซากอนได้ส่งเครื่องตรวจวัดท่อ (Tube Inspect P8) ซึ่งท่อถือเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่อยู่ในเครื่องบินหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์ไอพ่น ท่อไอเสียเครื่องบิน ระบบท่อแอร์ ท่อน้ำภายในเครื่องบิน เป็นต้น ระบบท่อเหล่านี้จำเป็นต้องผ่านกระบวนการตรวจวัดคุณภาพของท่อ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการใช้งาน โดย Tube Inspect P8 สามารถช่วยผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานของชิ้นส่วนได้ตั้งแต่กระบวนการออกแบบและผลิต ตลอดจนกระบวนการซ่อมบำรุง ด้วยเทคโนโลยีการสแกนเพื่ออ่านค่ามาตรฐานออกมาในรูปแบบ 3D ทำให้ผู้ผลิตสามารถนำเครื่องตรวจวัดนี้ไปสแกนที่ชิ้นส่วนที่ต้องการตรวจสอบได้ทันที โดยใช้เวลาไม่ถึง 2 วินาที และสามารถนำค่าที่อ่านได้ไปตรวจสอบและพัฒนาต่อได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาถอดชิ้นส่วน เพื่อส่งไปตรวจสอบที่โรงงาน ทั้งนี้ เฮกซากอนยังเตรียมเร่งเครื่องพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจสอบมาตรฐานชิ้นส่วนเครื่องบินที่ครอบคลุมในทุกส่วนประกอบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอากาศยาน นายเปรม กล่าวสรุป
ด้าน นายลทธพล จารุวัฒนวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรวิทยา สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า การที่ภาคอุตสาหกรรมไทยจะเข้าสู่การแข่งขันในตลาดทั่วโลกได้ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ "มาตรฐานทางคุณภาพ" เพราะมาตรฐานการผลิตเป็นตัวกำกับว่าสินค้าจากบริษัทนั้นๆ สามารถเข้าไปแข่งขันในตลาดระดับใดได้บ้าง ยิ่งสินค้าผ่านเกณฑ์ในมาตรฐานระดับสากล ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่สินค้านั้นๆ จะเข้าไปตีตลาดที่กว้างยิ่งขึ้น ดังนั้น การที่ผู้ประกอบการมุ่งยกระดับเทคโนโลยีการผลิตเพื่อหวังแข่งขันในตลาดที่ใหญ่ขึ้น จำเป็นต้องอ้างอิงมาตรฐานสากลเป็นหลัก ในทุกการลงทุนซื้อ หรืออัปเกรดเครื่องมือเครื่องจักร โดยในปัจจุบัน กว่าร้อยละ 50 ของโรงงานผลิตไทย ยังใช้มาตรฐานการผลิตในโลกยุคเก่า หรือมาตรฐานที่ต่ำกว่า ISO 2010 ซึ่งถือเป็นระดับมาตรฐานที่สามารถใช้อ้างอิงได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสามารถแข่งขันของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ที่ยังคงย่ำอยู่ในตลาดเดิมๆ อีกทั้งเผชิญกับคู่แข่งในระดับมาตรฐานเดียวกันจำนวนมาก สำหรับผู้ประกอบการที่เล็งเห็นโอกาสในการก้าวเข้าสู่การแข่งขันในตลาดที่มีมูลค่าสูงกว่า มีข้อแนะนำ 3 ข้อ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม แนวทางการยกระดับภาคการผลิตที่เหมาะสมกับประเทศไทยคือการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตจากต่างชาติ เพื่อนำมาเรียนรู้และปรับใช้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการผลิต (Copy & Research) จากนั้นจึงทำการวิจัย และพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีต่างๆ ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ของประเทศ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ได้ส่งเสริมผู้ผลิตไทยให้เข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตอันล้ำสมัยจากบริษัทชั้นนำทั่วโลก ผ่านการจัดงาน "ไวเออร์ แอนด์ ทูป เซ้าท์อีสท์เอเชีย 2019" มหกรรมรวบรวมสุดยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตลวดและท่อ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับการผลิตเครื่องจักรในอุตสาหกรรมอากาศยาน ตลอดจนอุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร รวมถึงการพัฒนาสาธารณูปโภคของไทย รองรับการติดปีกประเทศไทยสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม นายลทธพล กล่าวทิ้งท้าย
"ไวเออร์ แอนด์ ทูป เซ้าท์อีสท์เอเชีย 2019" มหกรรมรวบรวมสุดยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตลวดและท่อ จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ www.wire-southeastasia.com หรือ www.tube-southeastasia.com
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit