ฟ้าใส ปวีณสุดา เล่าว่า "ตอนเด็กๆหนูเกิดที่เมืองไทย พอจบป.2 ก็ย้ายไปตามคุณพ่อไปอยู่ที่แคนนาดา จากที่อยู่เมืองไทยหนูเป็นเด็กชอบทำกิจกรรมมาก พอไปถึงเราก็อยากมีเพื่อนแต่ก็มีปัญหาเรื่องภาษาในช่วงแรก สิ่งเดียวที่จะทำให้หนูมีสังคมมีเพื่อนได้คือการเล่นกีฬาเพราะไม่ต้องใช้ภาษาอะไรมากจากนั้นหนูเลยชอบเล่นกีฬามาตลอดทั้งบาสเกตบอล วอลเลย์บอล หรือว่ายน้ำ แล้วเมื่อก่อนหนูเป็นเด็กเรียนมาก คุณแม่จะเข้มงวดเรื่องการเรียนเป็นพิเศษ มีความคาดหวังในตัวหนูสูง ส่วนคุณพ่อใจดี เป็นที่ปรึกษาที่ดี เราคุยกันตลอด ตอนแรกที่เริ่มประกวดเกิดจากมีคนมาชวนให้ประกวดที่แคนนาดา หนูคิดว่าน่าสนุก แถมได้เพื่อน ก็เลยลองประกวด แต่พอไปประกวดจริงๆคือเขาแข่งขันกันมาก แล้วไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรเลย ก็เริ่มไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะคนที่เข้ามาประกวดตอนนั้นเขาเปิดกว้างมีหลายวัยด้วย พอปี2013 หนูเรียนหมอ ในมหาวิทยาลัย เพราะตั้งแต่เด็กหนูอยากจะเป็นหมอ แต่พอเรียนไปจนจะจบปีที่ 2 วิชาที่ได้เรียนทำให้รู้ว่าไม่ใช่ทางของเรา ประกอบกับติดดูละครมาก ทำให้เกรดออกมาไม่ค่อยดีนัก สุดท้ายก็เปลี่ยนไปเรียนคณะวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว และตอนนั้นเองช่วงที่เกรดไม่ดี ถ้าได้ต่ำว่า 2.0 มหาลัยจะไล่ออก แล้วหนูได้ 2.5 คุณพ่อก็บอกหนูว่าถ้าหนูได้เกรดเอสักตัว จะซื้อตั๋วเครื่องบินมาเมืองไทยให้ฟรี หนูเลยตั้งใจเรียนและก็ทำได้ พอมาเมืองไทยก็มีครูสอนภาษาไทย เขาชวนมาประกวดนางงาม เขาเล่าว่าจะมีกิจกรรมกับเพื่อนๆ ได้ทำอะไรสนุกๆ หนูก็เลยลองประกวดอีกครั้ง ในเวทีไทยแลนด์ไชนิสคอสมอส ที่ประกวดได้เพราะคุณแม่มีเชื้อจีนถึงแม้ว่าหนูจะหน้าฝรั่งก็ตามค่ะ ลงประกวดแบบไม่ได้หวังอะไรมาก แต่ก็ได้รองอันดับ 2 มา แล้วต้องไปประกวดต่อที่เวทีมิสไชนิส คอสมอส เซาท์อีทเอเชีย ที่มาเลเซีย ตอนนั้นด้วยความที่เราไม่รู้ภาษาจีนแล้วเขาถามคำถามเป็นภาษาจีน เราก็ต้องตอบไปทั้งที่ไม่เข้าใจคำถามแต่โชคดีที่คำตอบที่ตอบออกไปมันดี แต่คือหนูอายมาก ครั้งนี้ทำให้หนูได้ประสบการณ์และเรียนรู้ว่าเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ในทุกๆด้าน และต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ หลังจากจบ 2เวทีนี้เสร็จ หนูก็ขอกองประกวดว่าจะกลับไปเรียนให้จบ แต่ครูคนเดิมก็มาบอกว่าจะมีการประกวดนางสาวไทยเร็วๆนี้ ตอนแรกหนูก็สองจิตสองใจ หนูก็ถามพ่อแม่ว่าหนูควรประกวดมั้ย ประกอบกับคุณแม่ชอบพี่ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ มากและเป็นเหมือนฝันเล็กๆที่อยากให้ลูกสาวได้เวทีนี้ ก็เลยบอกแม่ว่าหนูทำให้ ในที่สุดก็ได้รองอันดับ 2 ปฎิบัติหน้าที่ครบ 1 ปี ก็กลับไปเรียนจนจบปริญญาตรี ระหว่างนั้นก็วางแผนจะประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ หนูรู้ว่านางงามเขาไม่ได้มองแค่สวยอย่างเดียว แต่เขาดูว่าเราฉลาดด้วยมั้ย ก็เลยตั้งใจเรียนและต้องจบด้วยเกียรตินิยมเท่านั้น หนูตั้งใจมาก สรุปได้ตามเป้าหมายเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 และหนูก็ขอเงินคุณพ่อไปลงเรียนคอร์สเพื่อพัฒนาตัวเองทุกด้านเพิ่มเติม จากนั้นในปี 2017 หนูกลับมาเมืองไทยประกวดมีสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ รอบนี้กลับทำให้หนูสูญเสียความมั่นใจ เพราะเรามัวแต่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นจนหาข้อดีของตัวเองไม่เจอ โดยเฉพาะกับพี่มารีญา ข้อดีทุกอย่างที่เราเคยคิดว่าเป็นจุดเด่นของเรา เขาก็มีหมดและมีมากกว่าเรา มันทำให้หนูสูญเสียความมั่นใจที่จะไปสู้กับคนอื่น ประกอบกับคุณยายเสียด้วยในวันที่หนูสัมภาษณ์มันเป็นช่วงที่หนูสับสนมาก และแม่ก็เกาะติดเพจนางงาม ทุกคอมเมนท์แม่อ่านหมด สมมติว่ามีคนชม 100 คอมเมนท์ ถ้ามีสัก 2 ที่ติ แม่ก็จะมาพูดกรอกหูหนูทุกวันจนทำให้เรารู้สึกกดดันตลอดเวลาอีก ผลที่ได้ครั้งนั้นคือได้รองอันดับ2 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2017 แล้วเขาก็ส่งเราไปประกวด มิสเอิร์ธ ต่อ ผลคือติดท็อป8 ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าเราทำดีที่สุดแล้ว และพบว่าหนูมีข้อดีแต่หนูมัวเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วกลายเป็นเห็นว่าตัวเองไม่ได้มีดีอะไรแตกต่างจากคนอื่นเลย แล้วทำไมหนูต้องประกวดใหม่ และหนูก็มัวถามคนอื่นว่าหนูมีดีอะไร จนคุณพ่อมาปลดล็อคปมอันนี้ด้วยคำพูดที่ว่า "แม้เราจะมีดีเหมือนคนอื่น แต่ข้อดีแต่ละอย่างที่เหมือนคนอื่นพอมารวมกับประสบการณ์มันจะทำให้เรามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และถ้ายังเห็นคุณค่าตัวเองด้วยการที่ให้คนอื่นมาบอก แต่ไม่ย้อนกลับมาดูตัวเอง คุณก็จะไม่มีทางเห็นว่าตัวเองมีดีอะไร อย่าคิดว่าจะได้รางวัล แต่เราต้องทำทุกวันให้เต็มที่ก่อน" หนูก็เลยกลับมาประกวดปี2019อีกครั้ง เพราะส่วนตัวยังรู้สึกว่าฝันเรายังไม่สำเร็จเราต้องทำให้ได้ที่จะใส่สายสะพายเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดมิสยูนิเวิร์ส เมื่อเป้าหมายใหญ่ขึ้น ความพยายามก็มากขึ้น หนูเตรียมตัวดูแลรูปร่าง จ้างเทรนเนอร์ คุมอาหาร เข้ายิมทุกวัน หนูมาด้วยความตั้งใจที่จะสนุกกับกิจกรรมทุกอย่าง ไม่กดดันตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง ไม่เครียดเหมือนคราวที่แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นข้อดี และถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้ แบบเชื่อด้วยตัวเองว่าเราทำได้ โดยที่เราก็ต้องลงมือทำบนหนทางที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จที่หวัง แล้วหนูก็ได้อย่างที่คิดค่ะ อย่าให้ใครมาบอกว่าเราทำอะไรได้หรือไม่ได้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเราเองที่เป็นผู้กำหนดคุณค่าของเรา ไม่แปลกที่เราอาจจะถามความเห็นคนอื่นได้ แต่เราก็ต้องเปิดใจด้วย และถ้าเราตั้งใจกับอะไรไว้ ถึงครั้งแรกๆจะไม่สำเร็จ มีบ้างที่อาจจะท้อ แต่เราติ้งไม่หยุดต้องกล้าที่จะลงมือทำต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ เพราะคำว่าเสียใจภายหลังจะเจ็บกว่าถ้าเราไม่ลองลงมือทำอะไรเลย"
ติดตามเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจของ "ฟ้าใส-ปวีณสุดา ดรูอิ้น" มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์2019 ได้ในรายการ"เจาะใจ" วันเสาร์ที่ 27 กรกฏาคม 2562 เวลา 21.00 น. ทางช่อง 9 MCOT HD
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit