ผ่านนิทรรศการ "สิ่งที่มองไม่เห็น" (Invisible Things) นิทรรศการสัญชาติเยอรมันที่รวบรวมสิ่งของจัดแสดงที่สะท้อน "ความเป็นไทย-เยอรมัน" และพร้อมเผยให้ผู้เข้าชมเข้ามาสัมผัส เรียนรู้ รวมถึงฉุกคิดถึงคุณค่าของสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันนับ 50 ชิ้น
แต่ทว่าการมองเห็นคุณค่าของสิ่งของเหล่านั้น มักมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หากแต่รับรู้ได้จากการทำความเข้าใจถึง "ปูมหลัง" ของความเชื่อ และไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวตนของคนทั้งสองประเทศว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ติดตามได้จากรายละเอียดดังต่อไปนี้
เพราะชาวเยอรมันเชื่อว่า "โนม" สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในถ้ำ ถึงแม้จะมีนิสัยดุร้าย แต่กลับมีพละกำลังมหาศาล อีกทั้งยังมาพร้อมกับพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ ในการเสาะแสวงหาสมบัติมาสะสม โดยการขุดหาแร่โลหะมีค่าและอัญมณีจากโลกใต้ดิน และทะนงตนว่าจะไม่ยอมแลกทองไปกับความสุขสบายใดใดในชีวิต ซึ่งพรสวรรค์นี้เอง จึงเป็นไอเดียธุรกิจของประดับสวนหน้าบ้านในเมือง
กราเฟนโรดา ในรูปแบบ "คนไฟรูปคนแคระ" ที่ดูไม่มีพิษมีภัย และหน้าตาคล้ายเด็ก โดยปัจจุบันมีรายงานว่าชาวเยอรมัน ได้เลือกใช้ตุ๊กตาโนมประดับสวนหน้าบ้านแล้วกว่า 25 ล้านตัว
เพราะไลฟ์สไตล์ชาวเยอรมันโดยแท้ ชอบการเล่นน้ำเป็นกิจวัตร เรียกได้ว่าเมื่อถึงช่วงวันหยุดพักผ่อน คนส่วนใหญ่มักเลือกทำกิจกรรมเกี่ยวกับน้ำ ทั้งลงสระที่มีกระดานลื่นสีสดใสและมีอ่างน้ำวน หรือนอนอ่านหนังสือดีๆ สักเล่มบริเวณชายหาด ซึ่งกิจวัตรเหล่านี้ รัฐบาลเยอรมนี จึงมุ่งหวังให้คนเยอรมันทุกคนว่ายน้ำเป็น "ตราม้าน้ำ" ของสมาคมผู้รักษาความปลอดภัยทางน้ำ หรือ DLRG (German Lifeguard Association) จึงถือเป็นเครื่องหมายรับรองชิ้นแรก ที่ผู้เรียนจะได้รับจากคอร์สเรียนว่ายน้ำของสมาคมฯ แต่กว่าจะได้มานั้น ผู้เรียนจะต้องกระโดดพุ่งตัวจากขอบสระน้ำเป็นระยะทาง 25 เมตร โดยไม่มีเครื่องช่วยและงมเอาของที่อยู่ใต้น้ำลึกระดับไหล่ขึ้นมาให้ได้ ดังนั้น หากไลฟ์การ์ดพบเห็นใครที่ไม่มี "ตราม้าน้ำ" และมีทีท่าว่าจะเป็นอันตราย จะรีบเข้าไปช่วยเหลือเป็นลำดับแรก
เพราะช่วงที่อากาศดีในอุณหภูมิเกิน 25 องศา ท้องฟ้าเหนือสวนสาธารณะในเมืองใหญ่ของเยอรมนี จะมีหมอกสีน้ำเงินลอยนิ่งท่ามกลางอากาศร้อน จึงนับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดของการปาร์ตี้ร่วมกับเพื่อนฝูงและครอบครัว เรียกได้ว่า ทันทีที่ถึงช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ชาวเยอรมันที่พิสมัยและคลั่งอาหารปิ้งย่างเป็นอย่างมาก จะทำการตระเตรียมอุปกรณ์สำหรับการปิ้งย่าง และวัตถุดิบต่างๆ แบบจัดเต็ม พร้อมจับจองพื้นที่สวนสาธารณะเพื่อจัด "ปาร์ตี้ปิ้งย่าง" ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว ถ่านหินจะกลายเป็นของหายากยิ่งกว่ายุคหลังสงคราม และตามซุปเปอร์มาร์เก็ต จะมีซอสรุ่น "Limited Grill-Edition" จาก Kraft ผู้ผลิตซอสมะเขือเทศ วางเรียงเป็นแถวยาวเหยียด
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ชาวเยอรมัน นับเป็นพลเมืองที่โชคดี เนื่องด้วยประเทศเยอรมนีเป็นประเทศที่มั่งคั่ง และอุดมด้วยสิ่งของจำเป็นพื้นฐานที่ครบถ้วน เป็นเหตุให้พลเมืองในประเทศไร้ข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้ชีวิต เพราะชีวิตและร่างกายของพลเมืองได้รับความคุ้มครอง อีกทั้งมีที่อยู่อาศัยที่แห้งและปลอดภัยให้อยู่ และมีน้ำประปาสะอาดเพื่อการดูแลสุขอนามัยประจำวัน คนส่วนใหญ่จึงเลือกทุ่มเงินที่มีไปกับการชอปปิ้งกับสิ่งของที่ไม่จำเป็นแทน ไม่เพียงเท่านี้ ยังมองว่า อาหารดีๆ ไม่ได้มีค่ามากมาย ซึ่งทัศนคติแบบนี้เอง จึงนำไปสู่การถือกำเนิดธุรกิจ ALDI บริษัทสัญชาติเยอรมันที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก ที่มีจุดยืนในการจำหน่ายสินค้าโภคภัณฑ์ในชีวิตประจำวันไม่กี่ประเภท แต่คงคุณภาพดีเสมอต้นเสมอปลาย แถมมีราคาต่ำมาก ดังนั้น การชอปปิ้งที่ ALDI จึงไม่นับว่าเป็นประสบการณ์ แต่เป็นการทำหน้าที่ประจำวันมากกว่า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหลักการดังกล่าว ได้ติดตลาดแล้วในเยอรมนี และชาวเยอรมันร้อยละ 90 ก็บอกว่าตนเองไปซื้อของที่ ALDI เป็นประจำ
เพราะชาวเยอรมันเข้าใจดีว่าเบียร์เป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมมนุษย์ และถือว่ากฎความบริสุทธิ์ (Purity Law) ที่กำหนดว่าการทำเบียร์ต้องใช้วัตถุดิบเพียง 3 อย่าง คือ ฮ็อปส์ ข้าวบาร์ลี่ย์ และน้ำนั้น มีความสำคัญดุจมาตราหนึ่งในรัฐธรรมนูญ และควรจะได้รับการปกป้องอย่างแข็งขัน ในทศวรรษ 1980 มีการยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมแห่งยุโรป ขอให้สั่งห้ามจำหน่ายเบียร์ต่างชาติในเยอรมนี แต่ศาลเห็นว่าส่วนผสมพิเศษที่ชาวเยอรมันยื่นประท้วงไม่ได้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จึงตัดสินยกฟ้อง อย่างไรก็ดี การต่อสู้ทางกฎหมายดังกล่าว ก็ทำให้นักดื่มเบียร์ชาวเยอรมันตกอกตกใจ และพร้อมใจกันช่วยตลาดในประเทศเท่าที่จะทำได้ ด้วยการสั่งเบียร์เยอรมันมาดื่มเวลาไปเที่ยวบาร์
อย่างไรก็ตาม สำหรับ 5 ความเชื่อของชาวเยอรมันในข้างต้น เป็นเพียงความเชื่อส่วนหนึ่งของชาวเยอรมันเท่านั้น หากแต่มีความเชื่อ ค่านิยม และความเป็นตัวตนของชาวเยอรมันในหลากหลายมิติ ที่ยังคงซุกซ่อนอยู่ในของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และรอคุณเข้าไปเรียนรู้ ทำความเข้าใจแบบอินไซท์เพื่อเข้าใจถึงลักษณะนิสัย และเข้าใกล้ความเป็นคนเยอรมันมากยิ่งขึ้น อาทิ ตลับครีมนีเวีย กระดาษปิดผนังเยื่อไม้ หนังสือพิมพ์ BILD และรองเท้าแตะเบียร์เคนชต๊อก ไม่เพียงเท่านี้ ในนิทรรศการเดียวกันนี้ ยังมีของใช้ในชีวิตประจำวันคนไทยอีก 25 สิ่ง อาทิ โต๊ะ ก.ไก่ น้ำมันนวดสมุนไพร สายสิญจน์ ปฏิทินไทย-จีน และรูปรับปริญญา ที่พร้อมเชื้อเชิญให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้ถึงค่านิยมและความเชื่อของคนไทยโดยแท้ไปพร้อมๆ กัน
ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการ "สิ่งที่มองไม่เห็น" (Invisible Things) ได้ตั้งแต่วันนี้ – 15 กันยายน 2562 เวลา 10.30 – 21.00 น. ณ ห้องแกลเลอรี่ ชั้น 1 อาคารส่วนหลัง ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ กรุงเทพฯ โดยสามารถเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างสะดวกในหลายช่องทาง ได้แก่ รถไฟฟ้าใต้ดินเอ็มอาร์ที (ลงสถานีสามย่าน หรือ หัวลำโพง) รถไฟฟ้าบีทีเอส (ลงสถานี สะพานตากสิน) เรือโดยสาร (ลงท่าเรือสี่พระยา) รถจักรยนต์รับจ้าง และรถยนต์ส่วนตัว
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 02-105-7400 เว็บไซต์ www.tcdc.or.th
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit