สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจขยายหรือรักษาระดับการลงทุนในประเทศไทยนั้น พบว่าสามอันดับแรก คือ มีวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่เพียงพอ ร้อยละ 55 ตามด้วยสองปัจจัย คือ มีสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน และมีซัพพลายเออร์เพียงพอ ที่ระดับร้อยละ 51 เท่ากัน
"นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่มองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะทรงตัวจากปีก่อนพิจารณาได้จากปริมาณยอดขายในช่วงที่ผ่านมายังมีเท่าเดิมหรือลดลงเล็กน้อย และคาดว่าจะยังทรงตัวต่อไปในอนาคต นักลงทุนต่างชาติโดยรวมมีความพึงพอใจต่อโครงสร้างพื้นฐานของไทยและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้นักลงทุนที่ทำธุรกิจอยู่แล้วภายในประเทศมีแผนจะขยายการลงทุน" นางสาวบงกชกล่าว
นอกจากนี้ การสำรวจความพึงพอใจต่อการบริการของบีโอไอ พบว่านักลงทุนต่างชาติมีความพึงพอใจ โดยเฉพาะการปรับใช้ระบบออนไลน์ (e-Services) มีประโยชน์เป็นอย่างมาก โดยนักลงทุนสามารถยื่นแบบฟอร์มขอรับการส่งเสริมการลงทุนออนไลน์ได้ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความพึงพอใจเพิ่มขึ้นจากบริการที่ได้รับจากศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (OSOS) และบริการที่ได้รับจากศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เมื่อเทียบกับผลสำรวจของปีที่ผ่านมา
จากการสำรวจเชิงลึกในปัจจัยด้านการลงทุน พบว่า นอกจากปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นแล้ว นักลงทุนต่างชาติมีความพึงพอใจต่อสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน และแรงงานที่มีคุณภาพ
ส่วนด้านปัจจัยอื่นๆ นักลงทุนเห็นว่าหน่วยงานภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการดำเนินงาน ที่โปร่งใส อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางส่วนต้องการให้บีโอไอพิจารณาให้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นแก่อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้นวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศให้ครอบคลุมในหลากหลายด้าน เป็นต้น
HTML::image( HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit