เรื่องราวของศิลปินไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่มีความสุขกับการงาน เรื่องราวเหล่านั้นมักจะแฝงด้วยอุปสรรคต่างๆที่ต้องเอาชนะ รวมถึงวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของศิลปิน อันเป็นตัวชี้บอกถึงพรสววรค์อันมหัศจรรย์รวมถึงความมุ่งมั่นที่ดีเลิศ ภายใต้หนทางการดิ้นรนเพื่อมุ่งสู่อาชีพศิลปิน เหงียน คัม ต้องประสบกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด อันเป็นสิ่งที่ศิลปินที่เกิดในยุคที่ประเทศต้องพบเจอกับความยากลำบากและความขัดแย้งระหว่างผู้คนหลายยุค ในช่วงแรกศิลปินได้มีการอพยพจากประเทศเวียดนามไปประเทศลาวพร้อมกับครอบครัวของเขาในช่วงปีพ.ศ. 2493 หลังจากนั้นเหงียน คัมใช้ชีวิตอีก กว่า 10 ปี ที่ เมืองเวียงจันทน์ ในขณะที่สงครามในประเทศบ้านเกิดของเขายังทวีความรุนแรงและยังมีการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากพ่อของเขาล้มป่วยหนัก เหงียน คัมในช่วงวัยรุ่นผู้ซึ่งยังไม่มีทักษะในด้านศิลปะ ก็ถูกบังคับให้เริ่มวาดภาพเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว เหงียน คัม วาดภาพบุคคลและยังทำการเปิดแกลอรี่ศิลปะที่แรกของเมืองอีกด้วย
ในวัย 25 ปี เหงียน คัมได้ทำการย้ายถิ่นฐานเป็นครั้งที่สอง ที่ซึ่งนำเขาจากเอเชียตะวันออกเชียงใต้ไปยังกรุงปารีส ศิลปินกล่าวว่า "ถ้าผมยังคงจะมองแค่รูปภาพวาดจากศิลปินท่านอื่นๆ ผมก็จะได้รับแค่แรงบันดาลใจจากพวกเขา แต่หากผมมาในสถานที่ที่มีศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อาศัยอยู่ ผมก็จะได้รับประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมเดียวกับที่ศิลปินชาวฝรั่งเศสเหล่านั้นประสบเจอ ดังนั้นผมก็จะสามารถตามหาแนวทางของผมเจอ" เหงียน คัม มีความทะเยอทะยานที่จะตามรอยเหล่าศิลปินที่มีความโดดเด่นยกตัวอย่างเช่น จอร์จ ออร์เวลล์ เหงียน คัม ทำงานด้วยการล้างจานในร้านอาหารฝรั่งเศส เพื่อที่จะได้เข้าเรียนใน สถาบันศิลปะแห่งกรุงปารีส หลังจากได้เข้าเรียน เขาจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยการผลิตโฆษณาที่ทำด้วยมือ เขาออกแบบและผลิตผลงานในช่วงกลางคืนที่สตูดิโอใต้ดินที่มีความหนาวและทึบ เหงียน คัม เล่าให้ฟังถึงช่วงปีแรกๆของเขาและความยากลำบากที่เขาพบเจอ พร้อมกับยิ้ม และยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ช่วงเวลาที่เขาเป็นนักศึกษาและไม่มีอันจะกินคือเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา
หลังจากเป็นศิลปินเป็นระยะเวลามากกว่า 20 ปี ในกรุงปารีสด้วยการจัดการแสดงศิลปะในเมืองต่างๆทั้งทางตอนใต้ของฝรั่งเศสและสเปน เหงียน คัม กลับบ้านครั้งแรกในปี 2537 หลังจากได้รับเชิญจาก สมาคมศิลป์โฮจิมินห์ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว เหงียม คัมจะตัดสินใจไม่ย้ายกลับไปอาศัยที่เวียดนาม อย่างไรก็ตามเหงียน คัม มักจะกลับมาเยือนประเทศเวียดนามบ่อยครั้ง และยังรับคำเชิญในการสอนที่ มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งฮานอย บทบาทที่เขาได้รับ ทำให้เขาสามารถช่วยศิลปินชาวเวียดนามที่มีชื่อเสียงโดดเด่นหลากหลายคนให้มีความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันในโลกของศิลปะ ในช่วงเวลาที่ประเทศเพิ่งเริ่มเปิดกว้างอีกครั้ง และในยุคที่อินเตอร์เน็ตเพิ่งจะเริ่มเข้ามา
เหงียน คัม แสดงความรู้สึกผ่านผลงานล่าสุดของเขาด้วยการใช้มือในฐานะศิลปินผู้ใหญ่ที่เลี่ยงการตกแต่งแบบไม่จำเป็น แต่ผลิตผลงานที่มีความเรียบง่ายแต่สามารถดึงดูดความสนใจและยังมีความงดงาม ศิลปินทำการสื่อสารด้วยความมั่นใจผ่านการใช้ลวดลายพู่กันในรูปแบบที่ชัดเจน และครอลคลุมพื้นที่ว่างบนผลงานของเขา ผลงานของเขาแสดงออกได้ถึงบางสิ่งที่สำคัญและยังผสมด้วยแนวคิดของจิตวิญญาณ อันเป็นภาษาของเขาเอง ผลงานหลายชิ้นของเขาใช้รูปแบบจิตรกรรมรอยพู่กันและยังรำลึกถึงสมัยที่มนุษย์เริ่มใช้รูปภาพในการถ่ายทอดความหมาย และก่อให้เกิดภาษาเขียนในยุคปัจจุบัน เหงียน คัม กล่าวว่า "ศิลปะแนวอักษรวิจิตรของผมย้อนกลับสู่ต้นกำเนิดของศาสตร์แห่งอักษรวิจิตร และต้นกำเนิดของอักษรวิจิตรก็คือธรรมชาติ ในภาษาเขียนของจีนกลาง พระอาทิตย์ได้ถูกแทนที่โดยวงกลมพร้อมกับเส้นแนวนอนที่วาดผ่านศูนย์กลาง อักษรวิจิตรได้มีวิวัฒนาการนับจากนั้น แต่ในผลงานของผม ผมได้ย้อนกลับไปในยุคก่อนที่จะมีการวิวัฒนาการเหล่านี้เกิดขึ้น"
HTML::image( HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit