ผู้ติดเชื้อ HIV รายแรกรายงาน ในปี พ.ศ. 2524 ปี พ.ศ. 2527 รู้สาเหตุว่าเอดส์เกิดจากเชื้อไวรัส HIV ที่เข้าไปทำลายภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้ CD4 ลดลงจากค่าปกติ 500 ถึง 900 เซ็ลล์/มิลลิลิตรจนต่ำกว่า 200 เซ็ลล์/มิลลิลิตร เกิดโรคฉกฉวยโอกาส และถึงแก่กรรมในที่สุดสารในกัญชาที่จะนำมารักษาเอดส์ ต้องแสดงได้ว่า สามารถลดตัวไวรัส HIV ในกระแสเลือดได้ ซึ่งเป็นตรรกะการรักษาเอดส์
ยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพ (Highly Active Antiretroviral Therapy : HAART) สามารถกดตัวไวรัสให้ไม่พบในกระแสเลือด (ต่ำกว่า 20 ก๊อบปี้/มิลลิลิตร) ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น รอดชีวิตและมีคุณภาพชีวิตเช่นคนปกติ การพัฒนายาต้านไวรัสให้กินง่ายขึ้นข้อแทรกซ้อนน้อยลงและราคาถูกลง จนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) สามารถจัดเป็นโครงการเอดส์แห่งชาติ ( National AIDS Program = NAP) ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อกินยาต้านไวรัสอยู่ในโครงการกว่า 350,000 คน แพทย์และผู้เกี่ยวข้องทางการแพทย์มั่นใจว่า ยาต้านไวรัส คือคำตอบการรักษาเอดส์
มีเหตุการณ์ในอดีตหลายครั้งที่ผู้ป่วยเชื่อสมุนไพร หรือยาโฆษณาแอบอ้าง แล้วหยุดกินยาต้านเพียงไม่กี่เดือน ร่างกายจะทรุดลงและป่วยเป็นเอดส์เต็มขั้น สารสำคัญ 2 สารในกัญชาคือ Tetrahydrocannabinol (THC) และ Cannabidiol (CBD) ซึ่งมีผลต่อร่างกายทางจิตประสาทโดย THC ทำให้มีอาการจิตประสาทหลอนและถือเป็นยาเสพติด ขณะ CBD ลดอาการวุ่นวายและไม่มีฤทธิ์เป็นยาเสพติด ส่วนผสมทั้ง 2 สารจึงมีความสำคัญต่อผลของกัญชาต่อร่างกาย สิ่งที่แพทย์รักษาเอดส์กังวลอย่างยิ่งคือคนไข้หยุดยาต้านไวรัสและไปใช้กัญชาอย่างเดียว เพียง 2 สัปดาห์หลังหยุดยาต้านไวรัสในร่างกายจะเพิ่มขึ้นมหาศาลก่อให้เกิดการดื้อยาและป่วยเป็นเอดส์เต็มขั้นในที่สุดและถึงแม้คนไข้ไม่หยุดยาต้านการใช้กัญชาร่วมกับยาต้านยังเกิดข้อเสียหาย คือสารในกัญชามีปฎิกริยาระหว่างยากับยาต้านไวรัสทำให้ระดับกัญชาสูงขึ้นเป็นอันตรายกับร่างกายและอาจลดระดับยาต้านไวรัสบางตัว Ataznavir (ATV) ทำให้ผลการรักษาลดลงเกิดการดื้อยาในที่สุด
ณ ปีนี้ พ.ศ.นี้ แพทย์รักษาโรคเอดส์กล่าวได้เต็มปากคำว่ายังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะนำกัญชามาแทนยาต้านไวรัสเอดส์มารักษาเอดส์แก่คนไข้ ได้ในยุคปัจจุบัน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit