อีไอซีปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2019 จาก 2.8% เหลือ 2.5% จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด รวมถึงภาคเศรษฐกิจในประเทศที่ยังมีทิศทางชะลอตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี
ทั้งนี้แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะยังไม่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (technical recession) แต่ภาคการผลิต (manufacturing) ยังคงอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่อ ซึ่งน่าจะทำให้การฟื้นตัวของการจ้างงาน รายได้นอกภาคเกษตรมีความเสี่ยงสูงขึ้น
สำหรับปี 2020 อีไอซีคงคาดการณ์ที่ 2.8% แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากภาคส่งออกที่ยังคงมีหลายปัจจัยกดดัน รวมถึงการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอลง
Key points
เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2019 ขยายตัวที่ 2.4%YOY จาก 2.3%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นการขยายตัวในระดับต่ำแม้จะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยฐานต่ำในช่วงปีก่อนหน้า ทั้งนี้การเติบโตแบบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล (%QoQ sa) พบว่าขยายตัวที่ 0.1% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.4% สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจยังคงชะลอต่อเนื่อง
เศรษฐกิจไทยด้านการใช้จ่าย (Expenditure Approach) ยังถูกกดดันจากภาคส่งออกที่ยังคงหดตัว ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวชะลอลง
ในด้านการผลิต (Production Approach) การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมีการหดตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การผลิตในหมวดอื่นมีการขยายตัวเพียงเล็กน้อย
Implication
อีไอซีปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2019 จาก 2.8% เหลือ 2.5% โดยคาดว่าในไตรมาสสุดท้ายจะขยายตัวประมาณ 2.6%YOY โดยสาเหตุหลักของการปรับลดประมาณการเกิดจากตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด (อีไอซีคาดขยายตัว 2.7%YOY เท่ากับ Bloomberg Concensus) ซึ่งเป็นผลจากภาคเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวมาก โดยเฉพาะในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากภาคส่งออกที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ผลกระทบของมาตรการ LTV ต่อการลงทุนด้านการก่อสร้าง และการลดลงของยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการลดลงของส่วนเปลี่ยนแปลงสินค้าคงเหลือที่ลดลงมากกว่าคาด ทำให้เป็นปัจจัยกดดันสำคัญของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะยังไม่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (technical recession) แต่ภาคการผลิต (manufacturing) ยังคงอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่อ ซึ่งน่าจะทำให้การฟื้นตัวของการจ้างงาน รายได้นอกภาคเกษตรมีความเสี่ยงสูงขึ้น โดยแม้ว่าในภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวที่ 0.1% ในช่วงไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล (%QoQ sa) แต่ก็นับเป็นการขยายตัวที่ต่ำที่สุดตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2018 อย่างไรก็ดี หากพิจารณา GDP ภาคการผลิต (Manufacturing) พบว่ายังอยู่ในภาวะ technical recession โดยล่าสุด ภาคการผลิตยังคงหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า -0.9% QoQ sa ซึ่งเป็นการหดตัว 3 ไตรมาสติดต่อกันตั้งแต่ไตรมาสที่ 1/2019 (-1.7% และ -0.5% QoQ sa ในไตรมาสที่ 2) ซึ่งจากแนวโน้มการส่งออกที่ยังหดตัวต่อเนื่อง บวกกับการสะสมสินค้าคงคลังของสินค้าอุตสาหกรรมที่ยังคงเพิ่มขึ้น อีไอซีมองว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการผลิตจะยังเป็นไปอย่างช้า ๆ ในระยะต่อไป ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชน ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าได้มีการหลุดออกจากภาวะ technical recession แล้ว โดยกลับมาขยายตัวได้ 1.0% QoQ sa หลังจากหดตัวสองไตรมาสติดในช่วงครึ่งปีแรกของปี อย่างไรก็ตาม การกลับมาขยายตัวได้ของการลงทุนภาคเอกชนส่วนใหญ่มาจาก การซื้ออุปกรณ์หรือเครื่องจักร (ขยายตัว 1.4% QoQ sa) ในขณะที่ ภาคการก่อสร้างแม้จะมีการขยายตัวแต่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเพียง 0.1% QoQ sa (เทียบกับ 0.0% ในไตรมาสที่ 2/2019)
สำหรับเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 อีไอซีมองว่าการส่งออกยังคงหดตัวแต่ในอัตราที่น้อยลงเนื่องจากได้รับอานิสงส์ปัจจัยฐานต่ำ เนื่องจากสถานการณ์การค้าโลกยังมีทิศทางชะลอต่อเนื่องสะท้อนจาก Global Manufacturing PMI ที่ยังอยู่ในโซนหดตัว (ระดับต่ำกว่า 50) รวมถึง PMI ของประเทศสำคัญก็ยังมีทิศทางลดลงต่อเนื่อง โดยคาดว่าการส่งออกทั้งปี 2019 จะหดตัวที่ 2.5%[1] ซึ่งจากการส่งออกที่ยังมีแนวโน้มหดตัว จะส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจในประเทศ ผ่านภาคการผลิตที่ยังคงอยู่ในภาวะ technical recession ทำให้คาดว่าการฟื้นตัวของการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เริ่มลดลง และค่าจ้างนอกภาคเกษตรที่ชะลอตัวลง อาจยังคงดำเนินต่อไป และจะทำให้การฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศได้รับผลกระทบตามไปด้วย ดังนั้นอีไอซีจึงมองว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2019 การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนจะมีแนวโน้มชะลอต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ (เช่น มาตรการประกันรายได้เกษตรกร และมาตรการชิม ช้อป ใช้ รวมถึงการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น) ก็อาจมีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจได้บ้างผ่านการบริโภคสินค้าไม่คงทนในช่วงที่เหลือของปี
สำหรับปี 2020 อีไอซีคงคาดการณ์ที่ 2.8% แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากจากภาคส่งออกที่ยังคงมีหลายปัจจัยกดดัน รวมถึงการบริโภคและลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอลง จากการที่เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในปีหน้า ประกอบกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่จะมีปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยฐานต่ำของการส่งออกในปี 2019 อีไอซีจึงประเมินว่าการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.2% ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชน คาดขยายตัวชะลอลงจากปี 2019 เล็กน้อยตามภาคส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับการก่อสร้างภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV
อย่างไรก็ดี ภาพรวมการลงทุนของประเทศจะได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐ ในส่วนของการก่อสร้างและบำรุงรักษาถนน การก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก รถไฟทางคู่ และมอเตอร์เวย์ เป็นสำคัญ นอกจากนี้ ความล่าช้าของการจัดทำงบประมาณปี 2020 ก็จะส่งผลให้โครงการลงทุนภาครัฐบางส่วนมีการเลื่อนไปเบิกจ่ายได้มากขึ้นในปี 2020 ดังนั้นอีไอซีจึงคาดว่าการลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีที่ราว 8.0% ในส่วนของการบริโภคภาคเอกชนมีทิศทางชะลอลงเช่นกันจากหลายปัจจัยกดดัน ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศที่ยังมีทิศทางชะลอต่อเนื่องซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อการขยายตัวของรายได้ประชาชน ทิศทางการปล่อยสินเชื่อที่จะเข้มงวดมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ การลดลงของยอดซื้อรถยนต์ในระยะข้างหน้า และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ต้องติดตามภาครัฐว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปี 2020 หรือไม่ และจะมีการจัดทำในรูปแบบใด โดยหากมาตรการกระตุ้นยังคงเป็นแบบเดิมที่มีขนาดเล็กและกระจัดกระจาย (small and scattered) ก็อาจทำได้เพียงช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น ขณะที่ความล่าช้าของการจัดทำงบประมาณปี 2020 อีไอซีคาดว่าจะจะมีการบังคับใช้ได้อย่างช้าที่สุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 เนื่องจากมาตรา 143 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ระบุว่า 1) สภาผู้แทนราษฎร ต้องพิจารณาร่างให้เสร็จภายใน 105 วัน นับตั้งแต่วันที่ร่างมาถึงสภาฯ (ในกรณีนี้ คือช่วงกลางเดือนตุลาคม 2019) หากไม่เสร็จภายในกำหนดให้ถือว่าเห็นชอบและเสนอต่อไปที่วุฒิสภา และ 2) วุฒิสภาจะต้องให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบภายใน 20 วัน นับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณนั้นมาถึงวุฒิสภา โดยจะแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ มิได้ ถ้าพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวให้ถือว่าวุฒิสภาเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัตินั้น ซึ่งจากความล่าช้าดังกล่าว จะทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐ (ที่ยังไม่ได้ก่อหนี้ผูกพัน) ล่าช้าตามไปด้วย แต่ในกรณีของรายจ่ายประจำยังสามารถเบิกจ่ายได้โดยใช้กรอบงบประมาณเก่าไปพลางก่อน
สำหรับแนวโน้มนโยบายการเงิน อีไอซีมองว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ กนง. น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เพื่อรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 โดยอีไอซีประเมินว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่สองของปี 2019 ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กนง. น่าจะเห็นความเสี่ยงด้านต่ำต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3/2019 อยู่บ้างแล้ว สะท้อนจากข้อความ "คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้และต่ำกว่าศักยภาพมากขึ้น" ในแถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2019 นอกจากนั้น ในผลการประชุมรอบดังกล่าว กนง. ได้มีการส่งสัญญาณถึงการใช้นโยบายด้านอื่น ๆ นอกจากนโยบายการเงินเพียงอย่างเดียวในการจัดการปัญหาเชิงโครงสร้างและการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า อย่างไรตาม อีไอซี ประเมินว่า กนง. มีโอกาสมากขึ้นที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง (25 basis points) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 หากภาวะเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะอุปสงค์ในประเทศ (domestic demand) ยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงดังกล่าว โดยล่าสุดจากการให้สัมภาษณ์ของ รองประธาณกรรมการ กนง. ได้มีการกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% นั้นไม่ใช่ขีดจำกัดของการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (policy rate floor) หากแต่คณะกรรมการจะพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจไทยเป็นสำคัญ (data dependent) และหากมองว่าเศรษฐกิจไทยปรับแย่ลงกว่าที่กรรมการคาดการณ์ไว้ ก็พร้อมใช้เครื่องมือทางการเงินซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นต่อไปได้
HTML::image( HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit