ราช กรุ๊ป ประกาศกำไร 5,058 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้เพิ่มจากโรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่นปีนี้ พร้อมเดินหน้าร่วมประมูลโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศ

14 Nov 2019
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) แถลงผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ปี 2562 รับรู้กำไร จำนวน 5,058.41 ล้านบาท พร้อมทุ่มทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นบริษัท นวนครการไฟฟ้า จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ราช โคเจนเนอเรชั่น จำกัด) สัดส่วน 99.97% ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ทันทีและยังมีศักยภาพที่จะช่วยเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าให้กับเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนครได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าลงทุนโครงการระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ล่าสุดเข้าร่วมกิจการร่วมค้าบีจีเอสอาร์ (BGSR) เข้าประมูลโครงการติดตั้งและบริหารระบบเก็บเงินมอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน-นครราชสีมา และบางใหญ่-กาญจนบุรี มูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการพิจารณาคัดเลือกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรก ปี 2562 มีความก้าวหน้าตามเป้าหมาย โดยผลประกอบการยังมีกำไรเติบโตต่อเนื่อง ส่วนการขยายการลงทุนมีทั้งโครงการโรงไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ประกอบด้วย การเข้าซื้อหุ้น 99.97% ในโรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น (กำลังผลิตติดตั้ง 119.11 เมกะวัตต์) การเข้าซื้อหุ้น 70% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมยานดิน (กำลังผลิตติดตั้ง 214.20 เมกะวัตต์) และการพัฒนาโครงการพลังงานลมคอลเลกเตอร์ (กำลังผลิตติดตั้ง 226.8 เมกะวัตต์) ในออสเตรเลีย ทั้ง 3 โครงการ บริษัทฯ รับรู้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 446.57 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เข้าร่วมกับกลุ่มกิจการร่วมค้าบีจีเอสอาร์ (BGSR) เข้าร่วมประมูลโครงการติดตั้งและบริหารระบบเก็บเงินมอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน-นครราชสีมา มูลค่าประมาณ 33,000 ล้านบาท และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี มูลค่าประมาณ 28,000 ล้านบาท ซึ่งผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากกรมทางหลวงแล้ว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจากโครงการเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น (ถือหุ้น 35%) ที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนมิถุนายน และโรงไฟฟ้าพลังน้ำอาซาฮาน 1 ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 26.61% เมื่อปลายปีที่แล้ว อีกทั้งยังคาดหมายว่าโรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น และโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียนเซน้ำน้อย จะเริ่มสร้างรายได้เสริมความมั่นคงทางการเงินของบริษัทฯได้ในปลายปีนี้ และจะรับรู้ส่วนแบ่งเต็มที่ในปี 2563 เป็นต้นไป

"บริษัทฯเล็งเห็นว่า การลงทุนในโรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น จะช่วยสร้างฐานธุรกิจลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เพราะโครงการสามารถเข้าไปช่วยรองรับความต้องการไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนครได้ และบริษัทฯ ก็เป็นหุ้นส่วนหนึ่งในโรงไฟฟ้านวนครด้วย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะประสานความร่วมมือกันเพื่อสนับสนุนความมั่นคงของไฟฟ้าให้กับภาคอุตสาหกรรมได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้น้ำหนักการลงทุนเพิ่มในธุรกิจระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยมีกลุ่มพันธมิตรหลักบีเอสอาร์ (BSR) ซึ่งจะเข้าร่วมประมูลในโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนด้านคมนาคมขนส่ง โทรคมนาคม และการบริการสาธารณะต่างๆ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสในการเข้าร่วมลงทุนอีกหลายโครงการ" นายกิจจา กล่าว

ปัจจุบัน บริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าแล้ว ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวมทั้งสิ้น 7,057 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและทยอยจ่ายกระแสไฟฟ้าตั้งแต่ปลายปี 2562 จนถึงปี 2563 ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน เซน้ำน้อย 102.5 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้านวนครส่วนขยาย 24 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลมยานดิน 149.94 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ในปีหน้าบริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากกำลังผลิตที่เข้าใหม่ รวมทั้งสิ้น 276.43 เมกะวัตต์ หากรวมโรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่นที่จะรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2563 จะทำให้กำลังผลิตเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น 395.54 เมกะวัตต์ รวมกำลังผลิตเชิงพาณิชย์ตามสัดส่วนการผลิตในปี 2563 เป็น 7,333.11 เมกะวัตต์จากกำลังผลิตที่ลงทุนแล้วทั้งหมด 9,341 เมกะวัตต์

สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือน ของปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 33,611 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจาก 2 ส่วนที่สำคัญ คือรายได้ค่าขายไฟจากโรงไฟฟ้าราชบุรี โรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้ และบริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น รวมจำนวน 27,384 ล้านบาท คิดเป็น 81.5% ของรายได้รวม และรายได้จาก ส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุนจำนวน 3,517.29 ล้านบาท คิดเป็น 10.5% ของรายได้รวม ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรสำหรับงวด จำนวน 5,058.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% เทียบกับงวดเดียวกันของปีที่แล้ว