ฟิทช์ประกาศให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินแก่บริษัทไทยรับประกันภัยต่อที่ 'A-’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

21 Nov 2019
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (Insurer Financial Strength: IFS) แก่บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE ที่ 'A-' (หรืออยู่ในระดับ "แข็งแกร่ง") แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต

อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ THRE สะท้อนถึงโครงสร้างธุรกิจประกันภัยที่แข็งแรง (Favorable Business Profile) ระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ระดับความเสี่ยงทางด้านการลงทุนและสภาพคล่องที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวรองรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในด้านผลประกอบการของบริษัท

ฟิทช์ประเมินโครงสร้างธุรกิจของ THRE อยู่ในระดับแข็งแรงเมื่อเทียบกับบริษัทประกันภัยอื่นภายในประเทศไทยและจัดให้อยู่ในระดับ 'a-' ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาปัจจัยเครดิตของฟิทช์ (credit factor scoring guideline) ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในปี 2561 เติบโตขึ้นมาเป็นเกือบ 40% ของเบี้ยประกันภัยต่อภายในประเทศ ประกอบกับบริษัทยังมีชื่อเสียงในด้านการให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย เช่น บริการด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย ในส่วนของความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทนั้นอยู่ในเกณฑ์ปานกลางเนื่องจากรายได้ที่ค่อนข้างผันผวน แต่ความเสี่ยงดังกล่าวถูกบรรเทาลงบางส่วนจากการกระจายตัวของประเภทผลิตภัณฑ์และช่องทางการให้บริการภายในประเทศที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี

ฟิทช์มีความเห็นว่า THRE มีเงินกองทุนอยู่ในระดับที่แข็งแรง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนโครงสร้างเครดิต (credit profile) โดยรวมของบริษัท ซึ่งเงินทุนของบริษัทดังกล่าวอยู่ในระดับที่แข็งแรงเมื่อเทียบกับบริษัทประกันภัยอื่นที่มีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลที่ระดับ 'A' ระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามระดับความเสี่ยง (Risk-based capital ratio) ของ THRE อยู่ในระดับเกิน 300% และสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 140% แม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สำหรับระดับเงินกองทุนของบริษัทประเมินจากแบบจำลอง Prism Factor-Based Capital Model (Prism FBM) ของฟิทช์อยู่ในระดับ "แข็งแกร่งมาก" ('Very Strong') โดยใช้ข้อมูลทางการเงิน ณ สิ้นปี 2561 และปรับเพิ่มเป็นระดับ "แข็งแกร่งมากที่สุด" ('Extremely Strong') ณ สิ้นสุดครึ่งปีแรกของปี 2562 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้ที่ฟื้นตัว เงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพดี การกระจายตัวของความเสี่ยงของหนี้สินประกันภัยต่อที่ดีขึ้น และการเข้าทำประกันภัยต่อช่วงที่มีมูลค่าเพียงพอต่อระดับความเสี่ยงของบริษัท

ปัจจัยหลักที่มีผลจำกัดอันดับเครดิตของบริษัทคือผลการดำเนินงานที่มีความผันผวน โดยอัตราส่วนรวมค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Combined Ratio) ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 114% ในปี 2561 (2559: 92%) ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นเป็น 107% ณ สิ้นสุดครึ่งปีแรกของปี 2562 เนื่องจากค่าสินไหมทดแทนของธุรกิจประเภทร่วมพัฒนาระยะยาว (Long-Term Non-Conventional Business) ที่ลดลงเป็นหลัก อัตราส่วนรวมค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเฉลี่ยระหว่างปี 2559-2561 ของบริษัทที่ 104% นั้นอยู่ในช่วงเกณฑ์ของบริษัทที่มีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลที่ระดับ 'BBB' ในขณะที่รายได้อื่นที่นอกเหนือจากธุรกิจประกันภัยก็ยังมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้ THRE คาดว่าความสามารถในการทำกำไรน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากการทยอยครบกำหนดของธุรกิจระยะยาวที่ยังมีผลขาดทุน

ฟิทช์คาดว่า THRE จะสามารถรักษาระดับความเสี่ยงด้านการลงทุนให้อยู่ในระดับที่จัดการได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าบริษัทจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยอัตราผลตอบแทนของการลงทุนในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ บริษัทจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทตราสารทุนและหน่วยลงทุนที่ประมาณ 50% ของสินทรัพย์ลงทุนรวม ในขณะที่ลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้ที่มีคุณภาพที่ดีในสัดส่วนที่มากกว่า 20% ณ สิ้นสุดครึ่งปีแรกของปี 2562 บริษัทยังคงมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อหนี้สินจากสัญญาประกันภัยอยู่ในระดับที่สูงกว่า 200% ณ สิ้นสุดครึ่งปีแรกของปี 2562

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

  • ปัจจัยที่อาจส่งผลให้ปรับลดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินได้แก่
  • การปรับตัวลดลงของความสามารถในการทำกำไรซึ่งสะท้อนจากอัตราส่วนรวมค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน (Combined Ratio) ที่สูงกว่า 103% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง หรือ
  • การปรับตัวลดลงของระดับเงินกองทุนที่วัดจากอัตราส่วนเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามระดับความเสี่ยง (RBC) มาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 280% และการปรับตัวลดลงของระดับเงินกองทุนของบริษัทซึ่งวัดจากแบบจำลอง Prism FBM มาอยู่ต่ำกว่าระดับบนของกลุ่ม "แข็งแกร่ง" ('Strong') เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง
  • ปัจจัยที่อาจส่งผลให้ปรับเพิ่มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินได้แก่
  • การปรับตัวเพิ่มขึ้นของความสามารถในการทำกำไรซึ่งสะท้อนจากอัตราส่วนรวมค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน (Combined Ratio) ที่ต่ำกว่า 96% ในขณะที่สามารถรักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return on equity) ในระดับสูงกว่า 10% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง และ
  • การปรับตัวเพิ่มขึ้นของระดับเงินกองทุนซึ่งวัดจากแบบจำลอง Prism FBM ของฟิทช์และสามารถคงอยู่ในระดับบนของกลุ่ม "แข็งแกร่งมากที่สุด" ('Extremely Strong') ได้อย่างต่อเนื่อง

การพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) หากไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนนี้ แสดงว่าบริษัทมีระดับคะแนนความสัมพันธ์ของ ESG ต่ออันดับเครดิต ไม่เกินระดับ 3 ซึ่งหมายความว่าปัจจัยด้าน ESG จะไม่ส่งผลกระทบหรืออาจมีผลกระทบในระดับที่น้อยมากต่ออันดับเครดิตของบริษัท ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยจากลักษณะของธุรกิจหรือจากการบริหารจัดการของบริษัทก็ตาม

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ ESG หาได้จาก https://www.fitchratings.com/esg