ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่า กำไรจะทำนิวไฮไปถึงปี 2565 และมีอัพไซด์จากโครงการใหม่ ซึ่งด้วยฐานกำลังการผลิต ปัจจุบันเพียง 128 เมกะวัตต์ ทำให้การได้โครงการใหม่ๆขนาดเพียง 20-30 เมกะวัตต์ ถือว่ามีความสำคัญต่อSSP อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดว่าจะทยอยประกาศต่อเนื่องจากนี้ไป โดยเฉพาะในเวียดนามและอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตาม ด้วยกำลังการผลิตในมือที่รอทยอย COD ต่อเนื่องไปอีก 3 ปี (2563-2565) โดยปี 2563 รับรู้โครงการในเวียดนามและมองโกเลียเต็มปี พร้อม COD โครงการ Yamagane 1 ขนาด 30เมกะวัตต์ ในไตรมาส 3 ปี 2563 คาดกำไรปกติที่ 877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น35.4% ทำระดับสูงสุดใหม่ ปี 2564 COD โครงการ Leo 1 ขนาด 20 เมกะวัตต์ คาดกำไรปกติเติบโต 13.7% และปี 2565 มีโครงการ Leo 2 ขนาด 10 เมกะวัตต์เริ่ม COD หนุนกำไรปกติเติบโตอีก 12.1% ยังไม่รวมโครงการลมในเวียดนามอีก 48 เมกะวัตต์คาดจะ COD ภายในปี 2565
สำหรับคำแนะนำการลงทุนมองว่า กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมา 3 เท่า แต่ราคายังเท่า IPO เริ่มต้นคำแนะนำ "ซื้อ" ซึ่งกำไรปกติใน 6 เดือนแรกของปี2562 อยู่ที่ 287 ล้านบาท เติบโตถึงเพิ่มขึ้น 11%จากงวดเดียวกันปีก่อน ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ 72% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 44% ของกำไรปกติที่เราประมาณการณ์ทั้งปีที่ 648 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 38.8%จากงวดเดียวกันปีก่อน) แตะระดับสูงสุดใหม่ และคาด EBITDA ทะลุ 1,000 ล้านบาทเป็นครั้งแรก
โดยในไตรมาส 3/2562 แม้จะเป็น Low season ของแดดตามผลของฤดูกาล แต่มีการรับรู้ผลประกอบการเต็มไตรมาสของโครงการ Binh Nguyen ในเวียดนาม ขนาด 40 เมกะวัตต์ (ถือ 80%) และโครงการ Khunsight Kundi ในมองโกเลีย ขนาด 15 เมกะวัตต์ (ถือ 75%) ทำให้กำไรปกติในไตรมาส 3/2562 อาจไม่ลดลง จากงวดไตรมาส2/2562 และโตสูง จากงวดเดียวกันปีก่อน ประมาณการกำไรปี 2563 ของเราที่ 877 ล้านบาท อีกทั้งยังไม่รวมโครงการใหม่ๆ ที่จะทยอยประกาศเพิ่มเติมอีกช่วงที่เหลือของปีนี้ ทีราคา 7.70 บาทเท่ากับราคา IPO แต่มีกำลังการผลิตที่ COD แล้วมากกว่า ณ วัน IPO ถึง 3.2 เท่า ปัจจุบันซื้อขายที่ พีอี ปี2563 เพียง 8.1 เท่า Laggard กลุ่มค่อนข้างมาก จึงเป็นโอกาสในการลงทุน ประเมินมูลค่า SSP ด้วยวิธี DCF ที่ WACC 4.1% ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2563 ของ SSP ที่ 11.60 มีอัพไซด์ 51% เริ่มต้นคำแนะนำ "ซื้อ"
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit