นายอนุกูล อุบลนุช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JCK หรือ TFD เดิม ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ JCK เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2562 ได้เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลการดำเนินการที่ดี สามารถทำกำไรได้กว่า 100 ล้านบาท สำหรับปีนี้บริษัทฯประเมินว่า ผลประกอบการจะเติบโตได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายที่ดินในนิคมทีเอฟดี 2 ได้มากเพราะได้รับอานิสงส์จากวิกฤติสงครามการค้าระหว่างจีน และอเมริกา ทำให้มีลูกค้ารายใหม่หลายรายจากประเทศจีนตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนมาไทยอีกจำนวนมาก จึงเป็นปัจจัยหนุนให้การขายที่ดินเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคของนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2 ให้แล้วเสร็จไม่เกินไตรมาสที่ 3 ปีนี้เพื่อรองรับการขายที่ดินดังกล่าว
"สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจปี 2562 ได้ตั้งเป้าไว้ว่า รายได้จากการขายที่ดินจะเป็นปัจจัยหลักที่จะสร้างรายได้ และผลักดันผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพราะธุรกิจนิคมฯ มีอัตรากำไรค่อนข้างสูง ปัจจุบันมีลูกค้าที่สนใจซื้อที่ดินโครงการของบริษัทอยู่หลายราย ทั้งผู้ประกอบการเดิมที่อยู่ในนิคมฯ และลูกค้ารายใหม่ เนื่องจากโครงการของบริษัทเป็นนิคมฯ ที่ตั้งอยู่ในเขต EEC มีโลเชั่นที่ดี มีพื้นที่ดินเลียบขนานไปกับถนนมอเตอร์เวย์เกือบ 4กิโลเมตร และติดถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทรา อีกทั้งเป็นนิคมฯ ในเขต EEC ที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด" นายอนุกูลกล่าว
สำหรับการขยายการลงทุน เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตนั้น ล่าสุด บริษัทได้เข้าไปร่วมประมูลการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุ มีพื้นที่รวมประมาณ 1,363 ไร่ 2 งาน 17.1 วา กับกรมธนารักษ์ โดยบริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตในอนาคตของภูมิภาคนี้ ที่จะสามารถพัฒนายกระดับพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นศูนย์กลางการขนส่ง และโลจิสติกส์ เชื่อมการค้าและการลงทุนเข้าด้วยกันเนื่องจากจังหวัดนครพนม เป็นเส้นทางเชื่อมต่อประเทศในภูมิภาคอินโดจีน เช่น ลาว เวียดนาม กัมพูชา และเชื่อมต่อประเทศจีนตอนใต้ผ่านสะพานมิตรภาพ 3 ที่สั้นและสะดวกที่สุด ประกอบกับพื้นที่โครงการติดกับเส้นทางรถไฟรางคู่ ขอนแก่น (บ้านไผ่) – นครพนม ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะชนะประมูลได้รับการคัดเลือกเป็นผู้พัฒนาโครงการในครั้งนี้ทำให้บริษัทมีที่ดินที่จะนำมาพัฒนาได้ทันทีถึง 1,363 ไร่ในต้นทุนที่ต่ำ เพราะราคาที่บริษัทเสนอไปเป็นราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับศักยภาพของที่ดินแปลงนี้ และยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในสิทธิประโยชน์ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอีกด้วย ซึ่งสิทธิประโยชน์นี้ไม่ด้อยไปกว่าที่ดินที่อยู่ในพื้นที่ EECสำหรับการพัฒนาที่ดินแปลงนี้บริษัทได้วางผังแม่บทการพัฒนาและใช้ประโยชน์ที่ดินไว้เป็นส่วนๆ เช่น พื้นที่สำหรับเมืองวัฒนธรรม การศึกษา การรักษาพยาบาล พื้นที่สำหรับเป็นศูนย์ประชุม แสดงสินค้านานาชาติ และพาณิชยกรรม พื้นที่สำหรับการกีฬาและสันทนาการ พื้นที่สำหรับศูนย์กระจายสินค้าและเขตอุตสาหกรรมทั่วไป เป็นต้น ซึ่งการได้ที่ดินแปลงนี้มาพัฒนาจะเป็นประโยชน์กับบริษัทเป็นอย่างมากในระยะยาว
ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขาย Warehouse ที่เหลืออยู่อีก 1 แห่ง ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ โดยมีมูลค่าขายอยู่ประมาณ 750 ล้านบาท หรือ 18 ล้านปอนด์ ก็จะสร้างกำไรให้กับบริษัทมากพอสมควร ส่วนธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าในไทย มีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่าในปี 2562 น่าจะให้เช่าพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30,000 ตรม. เมื่อรวมกับพื้นที่เช่าเดิมอีกประมาณ 32,000 ตรม. ยอดพื้นที่เช่ารวมจะเพิ่มขึ้นเป็น62,000 ตรม.
ส่วนธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัทฯได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการ The Artisan กับพันธมิตรด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศจีน มูลค่าโครงการรวม 6,800 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองแล้วเกินกว่า 60% มีความคืบหน้าการก่อสร้างในงานโครงสร้างไปแล้วประมาณ 95% บริษัทฯคาดว่า จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนดังกล่าวในช่วงต้นปี 2563 เป็นต้นไป
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit