นายชาญ ศิริรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า พลัสฯ เดินหน้ายกระดับกระบวนการทำงานให้สอดรับกับเทคโนโลยีใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัจจุบันที่กำลังเข้าสู่ยุค 5G ที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน ทางฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรมของพลัสฯ จึงได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและเพื่อให้ผู้รับบริการสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยล่าสุดได้ออกแบบระบบปฏิบัติการใหม่ "Building+" (บิ้วดิ้งพลัส) มาตรฐานการทำงานเอกสิทธิ์เฉพาะพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ผสานการให้บริการในทุกขั้นตอนเชื่อมต่อกับระบบ Internet of Things (IoT) เพื่อการทำงานแบบไร้รอยต่อ ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉมการให้บริการและดูแลอาคารครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม Facility Management ครอบคลุมขั้นตอนการทำงานแบบครบวงจร ประกอบด้วยการทำงาน 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. PlusServe ระบบฐานข้อมูลที่จัดเก็บรายละเอียดของลูกค้าและบริการที่ลูกค้าต้องการโดยเฉพาะ เป็นจุดตั้งต้นในการออกแบบงานบริการที่ตอบโจทย์ 2. Plus SOP ระบบมาตรฐานการควบคุมการปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้การนำส่งบริการถึงลูกค้าตามความต้องการภายในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมทั้งเป็นการส่งมอบงานที่เป็นไปอย่างมีคุณภาพและได้ตามมาตรฐานของพลัสฯ 3. Plus QC ระบบการตรวจสอบงานวิศวกรรมอาคารทั้งหมด ที่มีการนำเทคโนโลยีอาคารมาเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ เครื่องจักร แบบเรียลไทม์ ที่เชื่อมระบบในทุกโครงการเข้าสู่ศูนย์ปฏิบัติการจากส่วนกลาง เพื่อป้องกันก่อนการเกิดเหตุ สุดท้ายคือ 4. Plus Notify ระบบแจ้งผลการปฏิบัติงานที่คำนึงถึงลูกค้าและทีมงานของพลัสฯ โดยเริ่มตั้งแต่การส่งรายงานสรุปผลการปฏิบัติงานให้แก่ลูกค้า และรวมถึงการนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ประกอบการประเมินผลการทำงานของทีมพลัสฯ โดยทั้งหมดนี้ไม่เพียงช่วยให้การบริหารจัดการอาคารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ลูกค้า ผู้อยู่อาศัย ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในขั้นตอนของ Plus QC ที่สามารถตรวจสอบการทำงานของระบบวิศวกรรมในอาคาร กรณีเกิดเหตุขัดข้องหรือระบบไม่ทำงาน ทีมผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ปฏิบัติการจากส่วนกลางจะทราบและสามารถประสานแก้ไขได้ทันท่วงที และยังสามารถตรวจสอบระยะการใช้งานของอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งหากระบบตรวจพบว่าอุปกรณ์มีความเสี่ยงที่จะชำรุด ทางศูนย์ควบคุมจะติดต่อไปยังโครงการให้เข้าตรวจสอบอุปกรณ์ดังกล่าวก่อนที่จะเกิดเหตุขัดข้อง (Preventive Maintenance)
โดยเทคโนโลยีและระบบ IoT ดังกล่าว จะยังมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการอาคารสำนักงานและโครงการที่พักอาศัยให้สอดรับกับยุค 5G ซึ่งจะทำให้สามารถให้บริการได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น กรณีหากเกิดเหตุท่อประปาที่ฝังอยู่ในผนังอาคารเกิดแตกหรือรอยรั่ว หากเป็นสมัยก่อนอาจจะเกิดการเจาะผนังอาคารไม่ตรงกับจุดที่เสียหายจริง และทำให้ต้องเจาะใหม่จนกว่าจะพบจุดเสียหาย แต่เทคโนโลยีในอนาคตสามารถทำได้ถึงขั้นสแกนหาจุดที่เกิดเหตุได้อย่างตรงจุด ลดขั้นตอนในการทำงาน แก้ไขปัญหาด้วยระยะเวลาที่รวดเร็ว รบกวนผู้อยู่อาศัยน้อยที่สุด ซึ่งพลัสฯ เชื่อว่าเทรนด์ต่อจากนี้เทคโนโลยีจะเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่องานบริหารอาคารและความต้องการใช้พื้นที่ของบริษัทนำไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
พร้อมกันนี้ได้มีการปล่อยแอปพลิเคชั่นใหม่อย่าง "Living PLUS" ที่รวมทุกเรื่องการอยู่อาศัยไว้ในแอปพลิเคชั่นเดียว เป็นแอปพลิเคชั่นพิเศษสำหรับลูกบ้านในโครงการทั่วไปที่พลัสฯ บริหาร เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ดูแลโครงการและลูกบ้าน ทั้งในการแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ข่าวสารในโครงการ การแจ้งเตือนต่างๆ อีกทั้งยังเป็นที่รวบรวมเบอร์โทรฉุกเฉินจากแต่ละหน่วยงานไว้ในที่เดียว รวมถึงยังสามารถเป็นช่องทางสื่อสารแบบเรียลไทม์ระหว่างนิติบุคคลและลูกบ้านได้ถึง 2 ภาษา โดยลูกบ้านสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Living PLUS ได้ทั้งระบบปฏิบัติการแบบแอนดรอยและไอโอเอส
"อาคารชั้นนำในปัจจุบันทั้งอาคารพักอาศัยและอาคารสำนักงาน จะเป็นอาคารที่มีระบบวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้การศึกษาหาความรู้ในสิ่งใหม่ๆ ประกอบกับทักษะความเป็นมืออาชีพและความชำนาญในการบริหารจัดการอาคารที่สามารถจัดการระบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2562 พลัสฯ พร้อมเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อนำมาเสริมความแข็งแกร่งด้านการดูแลทรัพยากรอาคารและบริหารจัดการโครงการต่างๆ ซึ่งพลัสฯ เชื่อว่าระบบปฏิบัติการ Building+ จะสามารถยกระดับมาตรฐานการทำงานให้เหนือขึ้นไปอีกขั้น เพื่อส่งมอบการบริการได้อย่างตอบโจทย์ความต้องการในยุค 5G" นายชาญ กล่าว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit