งานแสดงในปีนี้ชุมนุมความหลากหลายของ เทคโนโลยีใหม่ ผู้ผลิต ผู้ให้บริการ และคู่ค้าจากทั่วทุกภูมิภาค มีบริษัทร่วมแสดง อาทิ Bentley, TÜV SÜD, Caddy, Erico, Hoffman, Raychem, Schroff, Tracer, nVent, Damrongsilp, Siam Steel, Kangni Rail Equipment, Egis, Pt Len Industry, GMT, Duali Incorporation และ DB Schenker ขณะที่บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมยังเข้าร่วมงานกันอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น Bombardier, CRRC, LSIS, Transdev, CRSC, Siemens, Voestalpine, Power Pusher, NuStar, Inoue Rubber, Anyang, Schneider Electric รวมถึงพาวิเลี่ยนประเทศไทย และองค์กร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเช่น ผู้ให้บริการเดินรถ ผู้รับเหมาก่อสร้าง ที่ปรึกษาโครงการ ยังมีการจัดแสดงจากพาวิเลียนสถาบันการศึกษาที่มีการเรียนการสอนด้านอุตสาหกรรมระบบรางของไทย ส่วนแสดงเทคโนโลยีใหม่ เตรียมพบโซลูชั่นสุดล้ำด้านงานระบบกลศาสตร์และไฟฟ้า สำหรับระบบรางในเอเชีย
ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงคมนาคม ได้ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "Rail Car Assembly Plants Initiatives for Thailand" การริเริ่มโรงงานประกอบรถไฟในประเทศไทย มีใจความ ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง เพื่อพัฒนาและขยายขีดความสามารถของประเทศ รวมถึงให้ระบบรางเป็นตัวเชื่อมการเดินทางแบบไร้รอยต่อในประเทศไทย และระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นงาน RAIL Asia Expo 2019 ที่จะจัดขึ้น เป็นแหล่งรวมเทคโนโลยีใหม่ ผู้ผลิต ผู้ให้บริการ และคู่ค้าจากทั่วทุกภูมิภาค กระทรวงคมนาคมมีแนวคิดนโยบายว่า ประเทศไทยถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนให้ภาคเอกชน
"จัดตั้งโรงงานผลิต ประกอบรถไฟในประเทศ" กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้มีการหารือร่วมกันในการส่งเสริมให้มีการตั้งโรงงานผลิตรถไฟในประเทศไทยจะเริ่มในปี 2020-2021 ซึ่งนอกจากจะมีการผลิต ประกอบรถไฟในประเทศแล้ว ในอนาคตโรงงานผลิตในไทยก็สามารถส่งออกรถไฟฟ้าไปสู่ประเทศในกลุ่ม CLMVได้ คาดการณ์จะจัดตั้งโรงงานผลิตรถไฟ รถไฟฟ้าได้สูงถึง 3 โรงงาน มียอดการผลิตรวมสูงกว่า 900ตู้/ปีในปี 2027 การจัดตั้งโรงงานผลิต ประกอบรถไฟในไทย ในอนาคต จะสามารถลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศได้กว่า 10 เท่า จากเดิมมีการนำเข้ากว่า 70,000 ล้านบาท เมื่อมีโรงงานผลิต ประกอบในไทยจะลดการนำเข้าเหลือเพียง 6,000-7,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังลดค่าใช้จ่ายการซ่อม-บำรุงรักษา ได้อีกกว่า ปีละ 1,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังเสริมให้คนไทยได้มีความรู้ในการผลิต เพิ่มการจ้างงานในระบบอุตสาหกรรมประกอบผลิตตัวรถได้อีกไม่น้อยกว่า 500 คน นอกจากนี้ยังช่วยลดการนำเข้าอะไหล่ ชิ้นส่วนอุปกรณ์รถไฟ รถไฟฟ้าได้อีกกว่า 3,000 รายการ จากเดิมต้องนำเข้ากว่า 7,000-10,000 รายการ รวมถึงจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถไฟในอาเซียนด้วย
นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยระบบรางใหม่ในประเทศไทยว่าระบบรางถือเป็นยุทธศาสตร์หลักของประเทศไทย ปัจจุบันสัดส่วนการขนส่งในประเทศแบ่งออกได้เป็น การขนส่งทางถนน 87% , การขนส่งทางน้ำ 12%,ที่เหลือเป็นระบบราง 1 % ในอนาคตประเทศไทย จะมีการขนส่งระบบรางใหม่ๆเกิดขึ้นอีกมากมาย ซึ่งโครงการที่จะเห็นในเร็ววันนี้คือ โครงการรถไฟความเร็วสูง, โครงการรถไฟฟ้าในเมืองและปริมณฑล 10 สาย, โครงการรถไฟฟ้ารางเบาในภูมิภาค(แทรม) และระบบรางฟีดเดอร์ จะเป็นการให้บริการในกรุงเทพ โดยนำรถเมล์ของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) เป็นฟีดเดอร์รับส่งผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้าไปถึงที่หมายโดยรถเมล์
อนาคตภาครัฐจะต้องมีการส่งเสริมให้เกิด "ฟีดเดอร์ระบบราง" มากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ ภาคเอกชน หรือกรุงเทพมหานคร(กทม.) เป็นผู้ลงทุนระบบรางเอง เช่น กรณี รถไฟฟ้าสายสีทอง ล่าสุด กทม. ได้เตรียมเสนอที่จะทำรางฟีดเดอร์ต่อเชื่อมจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวจากสถานีแบริ่งไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ(รถไฟฟ้าสีฟ้าอ่อน) ซึ่งหากมีการดำเนินการให้เป็นรูปธรรม จะทำให้ประชาชนฝั่งสมุทรปราการสามารถเดินทางด้วยระบบรางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิทางทิศใต้ของสนามบินได้ โดยที่ไม่ต้องเข้าสนามบินทางด้านทิศเหนือเหมือนในปัจจุบัน
ด้านนายสุจิตต์ เชาว์ศิริกุล รองผู้ว่าการ กลุ่มบริหารรถไฟฟ้า การผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ปาฐกถา เรื่อง "Future Projects of SRT"แผนอนาคตระบบขนส่งทางรางไทย กล่าวว่าร.ฟ.ท. ได้รับงบประมาณหลายแสนล้านบาท ในการลงทุนยกเครื่องทางรถไฟทั่วประเทศ ระยะทางกว่า 4,000 กิโลเมตร โดยมีเป้าหมายว่าจะทำให้รถไฟไทยขนส่งสินค้าและผู้โดยสารได้รวดเร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกัน รถไฟยังได้รับงบประมาณอีกเกือบ 3 แสนล้านบาท เพื่อลงทุนรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน) และกรุงเทพฯ-ระยอง (รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน) ซึ่งโครงการดังกล่าวถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของระบบรางประเทศไทย แต่การทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนารถไฟอย่างเดียวคงไม่คุ้มค่า ถ้าหากขาดแนวคิดเรื่องการพัฒนารูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Transit-oriented Development (TOD) หรือการพัฒนาพื้นที่โดยใช้ระบบขนส่งมวลชนเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะระบบขนส่งทางราง
ในปัจจุบัน ร.ฟ.ท. มีโครงการพัฒนา TOD ขนาดใหญ่และทันสมัย อยู่บริเวณ 'สถานีกลางบางซื่อ' เพราะเมื่อสถานีกลางบางซื่อเปิดให้บริการในปี 2564 ก็จะกลายเป็น Grand Station แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ และของประเทศไทย สามารถรองรับการเดินทางได้ทั้งรถไฟทางคู่, รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จนถึงรถไฟความเร็วสูง
คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางมาใช้บริการสถานีกลางบางซื่อจำนวนมาก ร.ฟ.ท. จึงมีแผนที่จะพัฒนาพื้นที่รอบสถานีกลางบางซื่อขนาด 2,325 ไร่ ภายใต้ชื่อ 'โครงการศูนย์คมนาคมพหลโยธิน โดยการการพัฒนาจะมีตั้งแต่ระบบสาธารณูปโภค สวนสาธารณะ โรงแรม หน่วยงานราชการ ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัดจตุจักร ย่านธุรกิจ ไปจนถึงแหล่งที่พักอาศัย แต่การพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวจะไม่ใช่เมืองใหม่ธรรมดา เพราะ ร.ฟ.ท.ได้ ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาให้เป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ด้วยการใช้เทคโนโลยี 3 ด้าน คือ ด้านคมนาคม ด้านพลังงานทดแทน และโครงสร้างพื้นฐานบริการสาธารณะ เพื่อบริหารพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการใช้พลังงาน ลดมลภาวะ รวมถึงช่วยอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร
โดยเบื้องต้นร.ฟ.ท. มีแผนจะเปิดประมูลศูนย์คมนาคมพหลโยธินบริเวณพื้นที่แปลง เอ ขนาด 32 ไร่ มูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท เป็นแปลงแรก คาดว่าจะประกาศเชิญชวนนักลงทุนได้ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2562 และได้ผู้ชนะการประมูลภายในปีดังกล่าว เพื่อให้นักลงทุนสามารถพัฒนาพื้นที่แปลง เอ บางส่วน ทันกับการเปิดให้บริการสถานีกลางบางซื่อในปี 2564 จากนั้นรถไฟ ก็จะทยอยเปิดประมูลพื้นที่แปลงอื่นๆ ในศูนย์คมนาคมพหลโยธินต่อไป
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit