2) ให้ อ.ส.ค. ทำหน้าที่แทนองค์กรกลางระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย เช่นเดิม แต่ให้กรมปศุสัตว์เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำระบบ Big Data มาใช้บริหารจัดการนมทั้งระบบ 3) ให้งบประมาณกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและหน่วยจัดซื้อเช่นเดิม แต่ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบบริหารจัดการ ไม่น้อยกว่า 3% ของงบนมโรงเรียนทั้งหมดให้กรมปศุสัตว์และส่วนงานที่เกี่ยวข้อง 4) ให้ท้องถิ่นและหน่วยงานที่ได้รับงบจัดซื้อนมโรงเรียน จัดซื้อจาก อ.ส.ค. โดยวิธีกรณีพิเศษเช่นเดิม ซึ่งปัจจุบันเรียนว่า วิธีเฉพาะเจาะจง ตาม พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 5) ให้ผู้ประกอบการทำประกันภัยความรับผิดชอบจากผลิตภัณฑ์ (Product Liability Insurance) เพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล
และ 6) การปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการ มีหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโดยให้ยึดหลัก ดังนี้ ปริมาณน้ำนมดิบตามพันธสัญญาที่มีผลบังคับใช้กฎหมาย คุณภาพนมดิบและนมโรงเรียน ศักยภาพการผลิต/การตลาด ระบบโลจิสติกส์/การขนส่ง ประวัติการดำเนินงานที่ผ่านมา และความรับผิดชอบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยให้ความสำคัญกับผู้มีศูนย์รวบรวมน้ำนมโคเป็นของตนเอง หรือมีแผนการตลาดรองรับปริมาณน้ำนมดิบที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี และรับผิดชอบตลอด 365 วัน ทั้งนี้ ในรายละเอียดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการฯ กำหนด นอกจากนี้ เกษตรกร/ศูนย์รวมนม/ผู้ประกอบการ ต้องลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่น 3 ระบบ คือ ระบบทะเบียนฟาร์ม ระบบซื้อขาย และระบบตรวจสอบย้อนกลับ อีกทั้งยังต้องให้ความสำคัญในคุณภาพมาตรฐานนมโรงเรียนให้มีมาตรฐานตามเกณฑ์ อ.ย. เพิ่มความเข้มงวดการติดตามตรวจสอบคุณภาพนมโรงเรียนในระดับพื้นที่ และพัฒนารูปแบบนมโรงเรียนและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์นมเพิ่มสารอาหารจำเป็น และบรรจุภัณฑ์ Milk in box dispenser รวมถึงการพิจารณาบทลงโทษที่ลดผลกระทบต่อเกษตรกร เช่น เรียกเบี้ยปรับ เป็นต้น ด้วย