บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย ในสัปดาห์นี้ ทางฝ่ายวิเคราะห์ มอง SET Index มีโอกาสแกว่ง ขึ้นทดสอบที่ 1,730 จุด หลังได้แรงหนุน จากสภาพคล่องทางการเงินในต่างประเทศ ที่มีแนวโน้มผ่อนคลาย ทั้งในจีน และ EU บวกกับผลการประชุม Fed ครั้งล่า สุดส่งสัญญาณ Dovish มากขึ้น ประกอบกับยังมีแรงหนุน จากหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่คาดปรับขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้การทาง บล.เออีซี มองกลยุทธ์ลงทุน ในหุ้น 4 กลุ่มหลัก ที่ยังคงมีประเด็นน่าจับตา อาทิ กลุ่มเนื้อสัตว์ ที่คาดว่าได้อานิสงส์บวกจากราคาเฉลี่ยของเนื้อหมู และเนื้อไก่ ที่ปรับตัว ดังนั้นจึง แนะนำ CPF โดยมองว่า ช่วง1Q62 กำไรเติบโต 40.37%YoY จากธุรกิจสุกรของไทยเวียดนามและกัมพูชา ปรับตัวดีขึ้น เพราะราคาสุกร ที่ลดต่ำลงในปีที่แล้ว กลับเข้ามาสู่สภาวะปกติ รวมทั้งการบริหารจัดการ ด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ส่วนภาพทั้งปีมองสถานการณ์โรคอหิวาต์แอฟริกา ในสุกร (ASF) ที่ระบาดในประเทศจีน ส่งผลให้ราคาสุกรมีแนวโน้มสูงขึ้น
และ TFG เนื่องจากกำไร 1Q62 โต 84.34%YoY จากผลบวกของราคาหมู และไก่ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น แนวโน้มปี 62 คาดยอดขายทำ New High จากปริมาณขายไก่และหมู ทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ผลจากการเพิ่มกำลังการผลิตและเจาะตลาดส่งออกใหม่ ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์ตั้งเป้า 2-3 ปีขยายกลุ่มลูกค้านอกเครือข่ายจาก 20% เป็น 50% )
นอกจากนี้มองฝ่ายวิเคราะห์ ยังแนะนำ กลุ่มได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยเลือกหุ้น นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่ได้ประโยชน์ดังกล่าวจากต้นทุนสินค้าถูกลง ได้แก่ SYNEX โดยหุ้นดังกล่าว มีการตั้งเป้ารายได้ปีนี้ เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประเภทอุปกรณ์สื่อสารและสินค้ากลุ่มคอมเมอร์เชียล ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง บวกกับมีแผนเพิ่มกลุ่มสินค้าใหม่ ทั้ง Gaming, Cloud service, Securityและ Internet of Things
และหุ้น HARN มองว่ากำไรปี62 เติบโต 12.7%YoY จาก Backlog ณ สิ้น 1Q62 อยู่ที่ 520.7 ล้านบาท และมีโอกาสได้งานต่อเนื่อง จากโครงการภาครัฐ และเอกชน อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบัน เทรด Forward P/E ปีนี้ที่ระดับ 8.92
กลุ่มค้าปลีก คาดได้ประโยชน์จากการเมืองไทยที่ชัดเจนมากขึ้น บวกกับได้อานิสงส์บวก จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ที่มุ่งเป้าที่การบริโภคของภาคเอกชนเป็นอันดับต้นๆ จึงแนะนำ CPALL โดยมองว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายปี 62 โตไม่ต่ำกว่า 7% YoYประกอบกับมี เป้าหมายที่จะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขาภายในปี 2564
และ กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง มองว่าหุ้นที่มีความมั่นคงทางกระแสเงินสด จากการดำเนินงาน ได้แก่ กลุ่มพลังงานทางเลือก แนะนำTPCH โดยมองว่า ระยะยาวมีแนวโน้มโตสดใส จากเป้าปี63 จะเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวล เป็น 200 MW และโรงไฟฟ้าจากขยะกำลังการผลิต 50 MW จากปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 60 MW, โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 49 MW และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา10 MW) และBAFS ที่มองว่าส่วนปี 62 ตั้งเป้ารายได้โต 8-9 %YoY และเป้าปริมาณการเติมน้ำมันโต 4%YoY ตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับเริ่มรับรู้รายได้ท่อส่งน้ำมัน บางปะอิน -พิจิตร และเตรียมเข้าประมูลโครงการจัดเก็บและเติมน้ำมันในสนามบินอู่ตะเภา
ฝ่ายวิเคราะห์ ยังคงแนะให้นักลงทุน จับตาช่วงปลายสัปดาห์นี้ ต่อกรณีการพูดคุยระหว่างผู้นำสหรัฐฯและจีน เกี่ยวกับการแก้ปัญหาสงครามการค้า หลังประชุม G20 วันที่ 28-29 มิ.ย. เพื่อประเมินการเคลื่อนไหวของดัชนี ในช่วงถัดไป อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงจากความตึงเครียด ระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน หลัง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศจะใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน จากการที่อิหร่านยิงโดรน สอดแนม ของกองทัพสหรัฐฯ ในวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit