บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย ในสัปดาห์นี้ SET Index มีแนวโน้มเคลื่อนไหวแกว่งตัวขาขึ้น ไปทดสอบแนวต้าน 1,750 จุดได้ จากปัจจัยหนุนต่างประเทศที่ดีขึ้นหลังการประชุม G20 ในวันที่ 28-29 มิ.ย. ที่ผ่านมามีความคืบหน้าเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน โดยสหรัฐฯ ประกาศจะไม่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม บวกกับอนุญาตให้บริษัทหัวเว่ยสามารถซื้อขายสินค้ากับสหรัฐฯได้ และประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เยือนเกาหลีเหนือและได้มีการพบกับผู้นำเกาหลีเหนือ นายคิม จอง อึน เป็นเวลา 2 วัน ณ หมู่บ้านบันมุมจอม บริเวณชายแดนเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ
อีกทั้งการประชุมของกลุ่ม OPEC ณ กรุงเวียนนาวันที่ 1-2 ก.ค.ซึ่งตลาดคาดเห็นความคืบหน้าของแนวทางการขยายกรอบความร่วมมือลดกำลังการผลิต ซึ่งรัสเซียให้สัมภาษณ์สนับสนุนการเลื่อนระยะเวลาของความร่วมมือลดกำลังการผลิตของ OPEC และ Non-OPEC อีกด้วย แต่เรายังคงความระมัดระวังเนื่องจากคาดยังมีปัจจัยลบที่คอยกดดันจาก ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องสะท้อนจากการที่หน่วยงานรัฐฯ หลายสำนักปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2562 ลง
ประกอบกับความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ทำให้มาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจต่างๆ ล่าช้าลงตาม อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยเสี่ยงจากตัวเลข เศรษฐกิจที่ตลาดคาดว่าชะลอตัวจาก Caixin PMI ของจีน (Forecast 50.0 vs Previous 50.2) และ ISM PMI ของสหรัฐฯ (Forecast 51.0 vs Previous 52.1) ที่คาดปรับลงจากผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ฝายวิจัย บล.เออีซี มองกลยุทธ์ลงทุน ในหุ้นที่มีปลอดภัยต่อภาวะ เศรษฐกิจได้ดี 3 กลุ่ม อาทิ กลุ่มได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ด้วยอานิสงส์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นโดย YTD ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 2.13% เทียบกับค่าเฉลี่ยทั้งปี 2561 และ 2QTD ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 0.91% เทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงไตรมาส 2/2561 โดยเลือกหุ้นนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่ได้ประโยชน์ดังกล่าวจากต้นทุนสินค้าถูกลง ได้แก่ SYNEX (ตั้งเป้าปีนี้รายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% นำโดยสินค้าประเภทอุปกรณ์สื่อสารและสินค้ากลุ่มคอมเมอร์เชียลที่มีแนวโน้มเติบโตสูงบวกกับมีแผนเพิ่มกลุ่มสินค้าใหม่ทั้ง Gaming, Cloud service, Security และ Internet of Things) และ HARN (คาดกำไรปี 62 เติบโต 12.7%YoYจาก Backlog ณสิ้น 1Q62 อยู่ที่ 520.7 ลบ. และมีโอกาสได้งานต่อเนื่องจากโครงการภาครัฐและเอกชน อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันเทรด ForwardPER ปีนี้ที่ระดับ 8.92x)
นอกจากนี้แนะนำ กลุ่มค้าปลีก คาดได้ประโยชน์จากการเมืองไทยที่ชัดเจนมากขึ้นบวกกับได้อานิสงส์บวกจากนโยบายกระตุ้น ศก. ของรัฐบาลชุดใหม่ที่คาดมุ่งเป้ามาที่การบริโภคของภาคเอกชนเป็นอันดับต้นๆ แนะนำ CPALL (ตั้งเป้ายอดขายปี 62 โตไม่ต่ำกว่า 7%YoY หนุนด้วยแผนเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องที่ 700 สาขา ส่วนภาพใหญ่มีเป้าหมายใหม่ที่จะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขาภายในปี 2564)
และสุดท้าย กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงทางกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ได้แก่กลุ่มพลังงานทางเลือกแนะนำ TPCH (แม้ช่วง 1Q62 กำไรโตเพียง 4.4%YoY เพราะมีโรงไฟฟ้าหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักร แต่อย่างไรก็ดีมองระยะยาวมีแนวโน้มโตสดใสจากเป้าปี 63 จะเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็น 200 MW และโรงไฟฟ้าจากขยะกำลังการผลิต 50 MW จากปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 60 MW, โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 49 MW และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 10 MW) และ BAFS (กำไรสุทธิช่วง 1Q62 เติบโต 7.8%YoY จากปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.9%YoY ส่วนปี 62 ตั้งเป้ารายได้โต 8-9%YoY และเป้าปริมาณการเติมน้ำมันโต4%YoY ตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับเริ่มรับรู้รายได้ท่อส่งน้ำมันบางปะอิน-พิจิตร และเตรียมเข้าประมูลโครงการจัดเก็บและเติมน้ำมันในสนามบินอู่ตะเภา)
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit