TISCO Market Insight (11/07/2019)

11 Jul 2019
สรุปภาวะตลาดวันก่อน: SET +17.95 จุด ไล่ซื้อช่วงปลายตลาด เก็งการเมืองคืบหน้า

SET แกว่งแดนบวกตลอดทั้งวันในกรอบ 1724-41 โดยช่วงเช้าแกว่งบวกกรอบแคบ รอถ้อยแถลงปธ.FED แต่ช่วงปลายตลาดมีแรงไล่ซื้อหุ้นขนาดใหญ่ผลักดันดัชนีปิดเกือบสูงสุดของวัน เก็งการเมืองคืบหน้า โดยในหลวงโปรดเกล้าฯ ครม.ชุดใหม่แล้ว ต่างชาติซื้อสุทธิ 3.25 พันลบ. 2 วันติด แต่พลิก Short S50 Futures เล็กน้อย 488 สัญญา n

ทิศทางตลาดวันนี้: ขยับขึ้นต่อ ทดสอบไฮเดิมแถว 1750+/- ได้หลายปัจจัยหนุน

หุ้นโลกเมื่อวาน (10 ก.ค.) ปิดสวนทางกัน โดยหุ้นยุโรปปิดลบเล็กน้อย ถูกกดดันจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) หั่นคาดการณ์ศก.ปีนี้และปีหน้าลงเหลือโต 1.2% และ 1.4% ตามลำดับ จากเดิมคาดโต 1.5% รวมทั้งปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั้ง 2 ปีลงจากเดิมที่ระดับ 1.4% เป็น 1.3% ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้น โดยดัชนี S&P500 แตะระดับ 3,000 จุดครั้งแรก ขานรับถ้อยแถลงปธ.FED ต่อสภาคองเกรส ส่งสัญญาณลดดบ.ในระยะข้างหน้า ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่ง 4.5% ทะลุระดับ 60$/บาร์เรล หลังรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าตลาดคาดถึง 3 เท่า (จริง -9.5m vs. คาด -3.1m) และกังวลพายุที่พัดเข้าอ่าวเม็กซิโกจะกระทบต่อการผลิตน้ำมันนอกชายฝั่ง มอง SET มีแนวโน้มขยับขึ้นทดสอบไฮเดิมที่บริเวณ 1750+/- อานิสงส์ปธ.FED ส่งสัญญาณลดดบ.ในระยะข้างหน้า และราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นแรง คาดว่าจะกระตุ้นราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี นอกจากนี้ ในหลวงโปรดเกล้าฯ ครม.ชุดใหม่แล้ว คาดว่าจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นนลท.กลับมา แนะติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน, การร่างและแถลงนโยบายรัฐบาล และการประกาศงบ Q2 กลุ่มแบงก์ แนวรับ 1730-35 แนวรับ 1750+/-, 1760-65

กลยุทธ์การลงทุน: หาจังหวะสะสมช่วงอ่อนตัว, ถือทนแกว่ง-Let Profits Run

SET เมื่อวานดีดกลับแรงจนเกิดสัญญาณบวก มองหาก SET ขึ้นเหนือ 1748 ได้จะสิ้นสุดการพักฐาน มีแนวโน้มแกว่งขึ้นต่อ ทดสอบเป้าถัดไป 1760-65 / แนะกลับมาหาจังหวะสะสมช่วงอ่อนตัว, ถือทนแกว่ง Let Profits Run

  • ประเด็นหุ้นน่าสนใจ Fundamental Pick EASTW – คาดกำไร 2Q19F เพิ่ม 8% YoY แตะระดับ 300 ลบ. จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งน้ำดิบและน้ำประปา ซึ่งถือว่าดีมาก เพราะเราคำนึงถึงการตั้งสำรองจำนวน 30 ลบ.ตามกม.แรงงานใหม่แล้ว, มีโอกาสปรับราคาขายน้ำผู้ใช้ภาคอุตฯ ขึ้นในปีหน้า และได้ประโยชน์จาก EEC ในระยะยาว, ปันผลดีปีละเกือบ 4%, เป้าพื้นฐาน 16 บ. / PERM-W1 เข้าเทรดวันนี้ – 1:1 @ 1.8 บ. 250m. อายุ 3 ปี เราประเมินมูลค่าเหมาะสมได้ที่ 53 สต. / 5 หุ้นเด่นจากผลสำรวจ IAA – ADVANC, AMATA, CPALL, CPF, STEC / หุ้นปันผลเด่น – INTUCH, KAMART, KKP, LH, QH, ROJNA, SCCC, SPALI, TVO / หุ้นรับอานิสงส์จัดตั้งรัฐบาล ด้านบริโภค - CPALL, BJC, ROBINS, AEONTS ด้านลงทุน - AMATA, ROJNA, WHA, EASTW, CK, STEC, UNIQ, SEAFCO, PYLON ด้านท่องเที่ยว – AOT, MINT, CENTEL, ERW / หุ้นขนาดใหญ่คาดจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มเงินทุนต่างประเทศไหลเข้า – BBL, INTUCH, MINT, TU / ทยอยสะสมหุ้นคาดเบื้องต้นว่ากำไรปกติ Q2 โต YoY มีปันผลระหว่างกาล – ชอบ AMATA, BAY, BCH, BGRIM, CBG, GGC, HMPRO, LPN, MAJOR, PYLON, ROJNA, SEAFCO, SPALI, TASCO, TFG, TPIPP / หุ้นพื้นฐานดี-รายได้มั่นคง-ปลอดภัยจากสงครามการค้า – ADVANC, AOT, BEM, BTS, INTUCH, MAJOR และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน DIF, JASIF
  • หุ้นเด่น ก.ค. (Smart Tactics) BBL, CK, EASTW, GPSC, INTUCH, LH, MAJOR, SCCC
  • หุ้นเด่นครึ่งปีหลัง BTS, CK, EASTW, KTC, PLANB, ROJNA

กระแสหลักทรัพย์

EASTW : ยอดขายน้ำดิบเพิ่มขึ้น YoY

คาดผลประกอบการ 2Q19F ที่ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% YoY แต่ลดลง 12% QoQ

  • เราคาดผลประกอบการ 2Q19F ของ EASTW ที่ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% YoY จากปริมาณการขายน้ำดิบที่เพิ่มขึ้น (715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% YoY และ 5% QoQ) และน้ำประปา (384 ล้านบาท +7% YoY และ 5% QoQ) ประมาณการของเราได้รวมผลของการตั้งสำรองแรงงาน 30 ล้านบาท และดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นแล้ว ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 26.5% เป็น 25.3%
  • ปริมาณการขายน้ำดิบเพิ่มขึ้นเป็น 72.6 ล้านลบ.ม. เพิ่มขึ้น 33% YoY แต่อย่างไรก็ตาม ราคาขายปรับตัวลดลงในช่วง 2Q19 เป็น 9.9 บาท/ลบ.ม. จากเดิมที่ 10.9 บาท/ลบ.ม. จากโครงสร้างราคาน้ำดิบใหม่ที่ใช้กับกปภ. ในขณะที่ยอดขายน้ำประปาเพิ่มขึ้นเป็น 25.7 ล้านลบ.ม. เพิ่มขึ้น 7% YoY
  • นับจากต้นปีปริมาณการขายน้ำดิบอยู่ที่ 142 ล้านลบ.ม. เพิ่มขึ้น 30.7% YoY และคิดเป็น 56% จากประมาณการทั้งปีที่ 253 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งมีอัพไซด์จากประมาณการ เนื่องจากปกติยอดขายครึ่งปีจะอยู่ที่ 52%
  • จะมีการปรับค่าน้ำสำหรับลูกค้าอุตสาหกรรมขึ้น 5 – 15% ในปี 2020 เนื่องจากมีการปรับสูตรราคาใหม่ ซึ่งในระยะยาวเป็นผลบวกต่อ EASTW เนื่องจากราคาขายจะอิงตามดัชนีมากขึ้น (ตาม CPI และ FT) เทียบกับของเดิมที่เป็นราคาคงที่มากว่า 5 ปี

มุมมองของเรา :

  • เราแนะนำให้ "ซื้อ" โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 16.00 บาท (DCF) โดยมีปัจจัยหนุนคือ 1) ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น 8.7% ในปี 2019F 2) ราคาขายน้ำดิบที่เพิ่มขึ้นในปี 2020F 3) มีเงินปันผล 4% และ 4) การลงทุนใน EEC หนุนการเติบโตในระยะยาว n
  • IRPC : กระแสตอบรับจากนักลงทุน

IRPC แนะนำ "ขาย" คำถามหลักที่เจอ 2 คำถามจากการพูดคุยกับนักลงทุนสถาบันหลังเราปรับคำแนะนำลงเป็น "ขาย" ได้มีคำถามเรื่องปัจจัยบวกจาก IMO 2020 และส่วนลดของ IRPC เมื่อเทียบกับในอดีต

ประโยชน์ที่ได้จาก IMO 2020 ทำไมเราจึงไม่มองในเชิงบวกเราได้รวม IMO 2020 เข้าไปในประมาณการของเราแล้ว โดยเราคาดค่าการกลั่นในปี 2020F ไว้ที่ 6 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 5 ดอลลาร์ในปี 2019F หากไม่รวมน้ำมันหล่อลื่นที่ลดลง YoY ในปี 2020 เราคาดค่าการกลั่นจะอยู่ที่ 3.4 ดอลลาร์ในปี 2019F และ 5.6 ดอลลาร์ในปี 2020F เราคาดผลประกอบการ 2Q19F ของ IRPC ที่ 506 ล้านบาท โดยจากประมาณการของเรา ผลประกอบการ 88% ในปี 2019F จะมาจากช่วง 2H19 และประมาณการทั้งปีของเราต่ำกว่าตลาด 38%

การประเมินมูลค่าใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 5 ปีอัพไซด์มากกว่าดาวน์ไซด์เรามองว่าตลาดมองอดีตและช่วงการเทรดของ IRPC ผิดไป และยังมีดาวน์ไซด์อีกมาก โดยปัจจุบันราคาหุ้นของ IRPC สูงกว่าคู่แข่งมาก จากความคาดหวังของโครงการ UHV ซึ่งได้เริ่มดำเนินการเต็มที่ในต้นปี 2019 แล้ว ทำให้ในอนาคต IRPC ไม่ควรซื้อขายในราคาที่พรีเมี่ยมกว่าคู่แข่งหลังจากปัจจัยพื้นฐานได้รับผลกระทบจากราคาของ PP และ ABS ปัจจุบัน IRPC ซื้อขายที่ 1.1 เท่า PBV โดยมี RoE ที่ 6% เทียบกับ PTTGC ที่ 0.9 เท่า PBV และมี RoE ที่ 8% และในด้าน PER IRPC ซื้อขายที่ 18 เท่าสำหรับปี 2019F เทียบกับคู่แข่งที่ 14 เท่า

เราแนะนำให้ "ขาย"

เราแนะนำให้ "ขาย" IRPC โดยมีมูลค่าที่แหมาะสม 4.40 บาท เนื่องจากผลกระทบของ PP และ ABS ที่มีแนวโน้มแย่ลงในอนาคต และหลังสงครามการค้ากำลังการผลิตของจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต โดยมูลค่าที่เหมาะสมของเราอิง PBV ที่ 1 เท่าตาม TOP และ PTTGC ในช่วงที่ต่ำที่สุด แต่มีความเสี่ยงในเชิงบวก 1) ส่วนต่าง หรือราคาที่เพิ่มขึ้น 2) อัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น

จากการพูดคุยกับบริษัท

  • เนื่องจากช่วงหยุดยาวในดือน เม.ย. และ พ.ค. ทำให้การเก็บหนี้ทำได้ยากใน 2Q19 ทำให้การฟื้นตัวของหนี้เสียช้าลงกว่าใน 1Q19 ที่ 948 ล้านบาท
  • การเติบโตของสินเชื่อส่วนบุคคลทำได้ดี แต่ยังไม่เท่ากับใน 1Q19 ที่เพิ่มขึ้น 8.3% YoY
  • สินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นตามที่คาด (1Q19 พอร์ตเพิ่มขึ้น 6.8% YoY)
  • จากการจัดงาน DB Access ที่ฮ่องกงผู้บริหารมองว่า การฟื้นตัวของหนี้สียที่ล่าช้ามาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก (เช่นวันหยุดยาว) ทำให้ยอดรวมทั้งปียังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น (การเติบโตในระยะยาวยังเป็นไปตามการขยายสินเชื่อ)

ประเด็นสำคัญ :

  • KTC จะประกาศผลประกอบการในวันศุกร์ที่ 19 ก.ค. โดยเราคาดผลประกอบการที่ 1.39 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% YoY แต่ลดลง 12.4% QoQ ตามกรณี Bear Case ของเรา
  • เราแนะนำให้ "ซื้อ" สะสม โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 48 บาท ในระยะยาวหุ้นมีปัจจัยบวกจากพื้นฐานที่ดี และผลประกอบการที่จะเพิ่มขึ้นในช่วง 2H19 – 2020F จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ n
  • TASCO : คาดผลประกอบการไตรมาสที่สองจะดีก่อนที่จะอ่อนลงในไตรมาสที่สาม

ราคายางมะตอยเริ่มอ่อนตัว เปลี่ยนคำแนะนำลงเป็น "ถือ"

เราคาดว่า TASCO จะรายงานผลประกอบการที่ดีมากในไตรมาสที่สอง เนื่องจากจะได้รับเงินค่าชดเชยประกันภัย 429 ล้านบาท นอกจากนี้ ผลประกอบการหลักยังคงแข็งแกร่ง แต่ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและยางมะตอยเริ่มอ่อนตัวในช่วงปลายไตรมาสที่สอง ดังนั้นเราคาดว่าผลประกอบการของไตรมาสที่สามจะลดลง QoQ และด้วยเหตุนี้เราได้ปรับลดคำแนะนำลงเป็น "ถือ"

กำไรสุทธิจะดีแต่กำไรหลักจะลดลง QoQ

เราคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาสที่สองของ TASCO จะอยู่ที่ 1,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 823% YoY และ 55.8% QoQ เนื่องจากค่าชดเชยประกันภัยจากเหตุไฟไหม้ปีที่แล้ว ส่วนผลประกอบการหลักที่ไม่รวมค่าชดเชยประกันภัยจะอยู่ที่ 689ล้านบาท สูงขึ้น 466% YoY และลดลง 9% QoQ การเพิ่มขึ้นของผลประกอบการ YoY มาจากยอดขายที่สูงขึ้นจากอุปทานน้ำมันดิบป้อนได้ต่อเนื่อง ส่วนการลดลง QoQ คาดว่าจะเกิดจากกำไรขั้นต้นที่ต่ำลงจาก 16.5% ใน 1Q19 เป็น 10% จากผลขาดทุนสต็อกน้ำมันหลังราคาน้ำมันดิบและยางมะตอยเริ่มอ่อนตัวในช่วงปลาย 2Q19

ราคายางมะตอยเริ่มอ่อนตัวลง กดดันผลประกอบการไตรมาสที่สามอ่อนตัวตาม

เนื่องด้วยราคายางมะตอยที่ปรับลงจาก $422 ต่อตันในเดือนพฤษภาคม เป็น$368 ต่อตันในเดือนมิถุนายน เราคาดว่ารายได้ของ TASCO จะลดลง QoQ ในไตรมาสที่สาม อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าผลประกอบการคงจะน่าพึงพอใจอยู่เพราะเราคาดว่าการขายของปีนี้จะเพิ่มจาก 1.8 ล้าน เป็น 1.9 ล้านตันต่อปี เนื่องด้วยการขายนอกประเทศที่ดีขึ้นของน้ำมันดิบ

ปรับลดคำแนะนำมาเป็น "ถือ" ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 22.70 บาท

เราได้เพิ่มการคาดการณ์ของผลประกอบการปี 2019-2021F เพื่อที่จะสะท้อนผลของค่าชดเชยประกันภัย และการปรับสมมติฐานปริมาณขายเพิ่มหลังอุปทานน้ำมันดิบที่ป้อนเข้ามาเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น ดังนั้นเราจึงปรับมูลค่าที่เหมาะสมขึ้นจาก 20 บาทเป็น 22.70 บาท แต่เนื่องด้วยการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ upside จำกัด 9% ร่วมด้วยกับการลดลงของราคายางมะตอย เราได้ลดเรตติ้งจาก "ซื้อ" เป็น "ถือ" Key Upside Risk : ส่วนต่างราคา และปริมาณการขายที่ดีกว่าคาด และราคาน้ำมันที่มีเสถียรภาพ Key Downside Risk : การกลับมาเผชิญกับอุปทานน้ำมันดิบไม่มีความต่อเนื่อง, ความผันผวนของราคาน้ำมัน และส่วนต่างราคาที่ลดลง

กระแสข่าวเด่นในประเทศ

AGE : รุกโลจิสติกส์เต็มสูบ ดันสัดส่วนรายได้พุ่ง 10%

AGE ใส่เกียร์เดินหน้าธุรกิจโลจิสติกส์ "ทางน้ำ-ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า" วางเป้ามีสัดส่วนรายได้ 10% พร้อมสั่งลุยต่อเรือลำเลียงเพิ่ม 16 ลำ หนุนขนาดกองเรือขยับเป็น 40 ลำในปี 63 และขยายท่าเรือเพิ่ม ย้ำธุรกิจถ่านหินโตต่อเนื่อง มีออเดอร์ในมือรอจ่อส่งมอบ 1 ล้านตัน ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้พุ่ง 9,000 ล้านบาท (ข่าวหุ้น) n

EA : แบตเตอรี่ขุมสมบัติโกยหมื่นล้านโตเท่าตัว

EA เปิดประเด็นชัดๆ ธุรกิจแบตเตอรี่ "เทคโนโลยีเปลี่ยนยิ่งได้เปรียบ" ล่าสุดอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงาน และสั่งเครื่องจักร มั่นใจเปิดดำเนินการ Q2 ปีหน้า ชูรถ-เรือ EV-Green Diesel และ PCM อนาคตสร้างรายได้เทียบเท่าธุรกิจไฟฟ้าที่ปีนี้ตั้งเป้า 1.5 หมื่นล้าน หลังโรงไฟฟ้ารับรู้เต็ม 664 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ Q3 ปี 2562 (ทันหุ้น) n

HTC : รับหลายเด้งไฮซีซั่น บาทแข็ง-ต้นทุนน้ำตาลลด

HTC แย้มธุรกิจรับหลายเด้ง ทั้งช่วงไฮซีซันยอดขายพรึบแถมต้นทุนลดจากราคาน้ำตาล บาทแข็งค่า ดันการนำเข้าหัวเชื้อโค้กถูกลง มั่นใจปีนี้รายได้พุ่ง 6% จากปีก่อนที่ 5.72 พันล้านบาท แถมเดินหน้าทำตลาด ดันโปรดักต์ใหม่ อัพฐานโกยเงินเพิ่ม (ทันหุ้น)

LPH : ฐานคนไข้ต่างชาติพุ่ง ดันผลงานไตรมาส 3 โตแรง

LPH เข้าไฮซีซัน หนุนผลงานไตรมาส 3/2562 โตแรง ทั้งปียังคงเป้ารายได้โต 25-30% เน้นขยายฐานคนไข้ต่างชาติ อาหรับ-กัมพูชา คาดปีนี้กวาดรายได้เข้าพอร์ต 85 ล้านบาท รุกตลาดตรวจสุขภาพ แย้มโรงพยาบาลลาดพร้าวลำลูกกา ปรับแบบรับประกันสังคมเพิ่ม คาดก่อสร้างปี 2563 พร้อมเดินหน้าสร้างโรงพยาบาลเอเชียคาดเปิดช่วงต้นปี 2564 (ทันหุ้น)

PREB : ซิวงานคอนโด เติมแบ็กล็อกพันล้านเดินหน้าประมูลเพิ่ม

PREB ซิวงานสร้างคอนโดใหม่ราว 1 พันล้านบาท คาดเซ็นสัญญาเร็วๆ นี้ หนุน Backlog ขยับชน 8 พันล้านบาท กินยาวปี 2564 พร้อมเดินหน้าสอยงานเพิ่ม 3-4 พันล้านบาท เสริมรายรับอนาคต ย้ำเป้ารายได้ปี 2562 ตามฝัน 4 พันล้านบาท โครงการเรียงคิวบุ๊กเพียบ (ทันหุ้น)

PTTEP : ซื้อกิจการเมอร์ฟี่ฯ เสร็จ GULF ดึง Mitsui-TGES ร่วมลงทุนถือหุ้น BSE

PTTEP เผยซื้อกิจการเครือ Murphy Oil ในมาเลเซียแล้วเสร็จ หนุนปริมาณขายปิโตรเลียมเพิ่มอีก 4.8 หมื่นบาร์เรล/วัน เป็น 6-7 หมื่นบาร์เรล/วัน ด้าน GULF ดึง Mitsui- TGES ร่วมลงทุนถือหุ้น BSE ในสัดส่วนฝ่ายละ 33.33% ลุยระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้า-ผลิตน้ำเย็นในโครงการ One Bangkok (ข่าวหุ้น)

RS : ลุ้นผลงานครึ่งปีหลังเติบโตดี

RS ลุ้นผลงานครึ่งปีหลังเติบโตดี หลังธุรกิจ MPC-สื่อ-เพลง หนุน ส่วนงบไตรมาส 2/62 คาดกำไรสุทธิลดลง เหตุบุ๊กค่าใช้จ่ายกฎหมายแรงงานใหม่กว่า 26 ล้านบาท ด้านบอร์ดแต่งตั้ง "จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล" เป็นกรรมการคนใหม่ (ข่าวหุ้น)

กระแสข่าวเด่นต่างประเทศ

EU หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจ,เงินเฟ้อยูโรโซน จากปัจจัยสงครามการค้าสหรัฐ

คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ประกาศปรับลดคาดการณ์การขยายตัวและเงินเฟ้อของยูโรโซน โดยได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ทั้งนี้ ในรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจรายไตรมาส EC ระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะมีการขยายตัว 1.2% ในปีนี้ โดยชะลอตัวจากระดับ 1.9% ในปีที่แล้ว และคาดว่าเศรษฐกิจจะมีการขยายตัว 1.4% ในปีหน้า ลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 1.5% ขณะเดียวกัน EC ได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อในยูโรโซน สู่ระดับ 1.3% ในปีนี้และปีหน้า จากเดิมที่ระดับ 1.4% สำหรับทั้งสองปี ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อให้ "อยู่ใกล้ แต่ไม่เกินระดับ 2%" EC ระบุว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจในยูโรโซนได้รับอิทธิพลจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจเยอรมนี ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาค รวมทั้งภาวะซบเซาในอิตาลี ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของยูโรโซน (อินโฟเควสท์)

จีนเผยยอดขายรถยนต์เดือนมิ.ย.ร่วง 9.6% ทำสถิติลดลงติดต่อกัน 12 เดือน

สมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีน (CAAM) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในเดือนมิ.ย. ร่วงลง 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 2.06 ล้านคัน ซึ่งเป็นสถิติที่ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 ยอดขายรถในประเทศจีนยังคงอยู่ในช่วงขาลง หลังจากที่ลดลง 16.4% ในเดือนพ.ค. และ 14.6% ในเดือนเม.ย. ขณะที่ในปีที่แล้ว ยอดขายรถยนต์จีนเผชิญกับการหดตัวรายปีครั้งแรกนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 90 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐ ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในครึ่งปีแรกนั้น ปรับตัวลดลง 12.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ 12.3 ล้านคัน (อินโฟเควสท์)

สนง.สถิติจีนเผยดัชนี CPI เดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 2.7% สอดคล้องนักวิเคราะห์คาดการณ์

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ (อินโฟเควสท์)

สนง.สถิติจีนเผยดัชนี PPI ทรงตัวในเดือนมิ.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดเพิ่มขึ้น 0.2%

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าที่หน้าประตูโรงงาน ทรงตัวในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% (อินโฟเควสท์)

สนง.สถิติฝรั่งเศสเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น 2.1% ในเดือนพ.ค.

สำนักงานสถิติแห่งชาติฝรั่งเศส (INSEE) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น 2.1% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการขยายตัวรายเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2559 โดยได้ปัจจัยหนุนจากการผลิตเครื่องบินและพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รายงานระบุว่า การผลิตพลังงานและการผลิตด้านสาธารณูปโภค เพิ่มขึ้น 4.6% ในเดือนพ.ค. ซึ่งมากกว่าเดือนเม.ย.ที่เพิ่มขึ้น 4% ขณะที่การผลิตด้านการขนส่ง ซึ่งรวมถึงการผลิตเครื่องบินแอร์บัสและรถยนต์ เพิ่มขึ้น 3.3% ซึ่งฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลง 3.1% ในเดือนเม.ย. นอกจากนี้ สำนักงานสถิติฯ ยังได้ปรับทบทวนตัวเลขการขยายตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนเม.ย.สู่ระดับ 0.5% จากตัวเลขประมาณการก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.4% (อินโฟเควสท์)

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit