บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วงนี้ยังคงผันผวนในกรอบแคบๆ แม้ยังมีปัจจัยบวกจากสภาพคล่องทางการเงินที่เพิ่มขึ้นมาก หลังธนาคารกลางของประเทศขนาดใหญ่ มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้นทั้ง ECB, BoJ และ PBOC ทั้งนี้ ในช่วงสั้น เราคาดหุ้นกลุ่มพลังงาน ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกแรงขายทำกำไร หลัง OPEC ออกมาปรับลดประมาณการความต้องการน้ำมันดิบโลกในปี63 ลง ประกอบกับในช่วงสัปดาห์นี้ เริ่มเข้าสู่ช่วงประกาศงบช่วง 2Q62 ของหลายบริษัท ซึ่งยอมรับว่าผลการดำเนินงานอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เนื่องจากได้รับผลกระทบของสงครามการค้าในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้นักลงทุนจับตาการประกาศตัวเลข ด้านการบริโภคของจีน ได้แก่ GDP (Consensus คาดโต 6.2%YoY ต่ำสุดในรอบหลายปี) และยอดขายภาคค้าปลีก เพื่อประเมินโอกาสที่จีนจะเพิ่มความเข้มข้นของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และรอติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed )เดือน ก.ค วันที่ 30-31 ก.ค. ซึ่งจากที่หลายฝ่ายออกมาคาด พร้อมให้น้ำหนักการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งสำหรับการประชุมในครั้งนี้ และมีโอกาสอีกว่า 4.2% ที่จะลดดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งในปีนี้"จากแรงกดดัน กรณีเม็ดเงินต่างชาติ ที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ออกมาตรการคุมการเก็งกำไรค่าเงินบาท อีกทั้งยังมีโอกาสที่ ธปท. จะลดดอกเบี้ยตามภูมิภาค ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง จะลงผลเชิงลบต่อหุ้น Big Cap แต่ในทางกลับกัน ยังมีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย กลับเข้ามามีแรงเก็งกำไรอีกครั้ง เนื่องจากความชัดเจนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 24-25 ก.ค.นี้ รวมถึงการแจ้งงบQ2 ของกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชี้วัด สำหรับแนวโน้มกำไรของหุ้นในกลุ่ม Real Sector ที่ออกมาจะประกาศหลังกลุ่มธนาคาร ออกมาประกาศงบเป็นที่เรียบร้อย"
ดังนั้น โดยกลยุทธ์ และปัจจัยในข้างต้น ทางฝ่ายวิจัย แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ราคาน่าดึงดูด เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบันที่ซื้อขาย P/BV ต่ำเพียง 1.04 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังช่วง 3 ปี ที่ 1.19 เท่า อีกทั้ง หลังมีการรายงานแบบ ธ.พ.1.1 พบหุ้นในกลุ่มธนาคาร ที่มีอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อโดดเด่น ได้แก่ KKP คาดว่าเพิ่มขึ้น 10.2% จากปีก่อน และ KTB เพิ่มขึ้น 6.6% จากปีก่อน
ส่วนหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯ ในการเร่งออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะสั้น เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งฝ่ายวิจัย แนะนำหุ้นที่ยังคงมี Upside น่าสนใจ ได้แก่ หุ้น BJC เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลัง 2562 คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัว จากการขยายสาขา Big C มากขึ้น (โดยขยายสาขา ในประเทศ 7 สาขา และสาขา กัมพูชา 1 สาขา Big C Food Place 1 สาขา และ Mini Big C ราว 200 สาขา) หุ้น SEAFCO ช่วง 2Q62คาดโต 5.4% จากปีก่อน ด้วยงานก่อสร้างที่รับรู้สูงกว่าปีก่อน เราจึงปรับเพิ่มประมาณการ หลังได้รับงานใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท) และหุ้น DCC คาดปี 62 โตจากปีก่อน หนุนด้วยกำลังผลิต และต้นทุนกระเบื้องดีขึ้นจาก Economy of scale หลังเข้าบริหารและถือหุ้น RCI อีกทั้งตั้งเป้าขยายสาขาปีนี้เพิ่มอีก 5 สาขา พร้อมปรับ Business Model แบ่งพื้นที่สาขาให้ธรุกิจที่เกี่ยวเนื่องเช่า เพื่อเพิ่มช่องทางรับรู้รายได้ แก่บริษัท นอกจากนี้ ยังซื้อขายที่ P/ER 15.1 เท่า ถูกกว่าทั้ง GLOBAL และ HMPRO
และกลุ่มค้าปลีก ซึ่งจัดเป็นกลุ่ม Defensive Stock ซึ่งท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้น ทางฝ่ายวิจัย จึงเลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูด ประกอบกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มเติบโตต่อ จึงแนะนำ หุ้น ASK (คาดผลดำเนินงาน โตต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วง 2Q/62 หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯ ที่จะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ ตามมาตรการของขสมก.
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit