ทั้งนี้ ธนาคารเอชเอสบีซีได้แสดงความเห็นต่อกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงการเคลื่อนย้ายห่วงโซ่อุปทานไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดผู้บริโภคของภูมิภาคนี้กำลังเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ความตึงเครียดทางการค้า และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อตลาดอื่น ๆ แม้จะมีการคาดเดากันทั่วไป แต่การเคลื่อนย้ายห่วงโซ่อุปทานจำนวนมหาศาลจนถึงขณะนี้ยังเกิดขึ้นในปริมาณที่น้อย
นายเคลวิน แทน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในการค้าโลกกำลังทำให้ธุรกิจหันมาทบทวนกลยุทธ์การลงทุนในห่วงโซ่อุปทานและกำลังการผลิตของตนเอง แต่จนถึงขณะนี้เราก็ยังไม่เห็นว่าจะเปลี่ยนไปสู่การเคลื่อนย้ายห่วงโซ่อุปทานจำนวนมหาศาลไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ หรือส่วนอื่น ๆ ของโลก"จากสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้า แทนที่จะเห็นการเคลื่อนย้ายห่วงโซ่อุปทานจำนวนมากไปยังอาเซียน บริษัทข้ามชาติหลายแห่งกำลังเลี่ยงไปใช้กลยุทธ์การจัดการห่วงโซ่อุปทานแบบผสมผสานระหว่างการปรับตัวเข้ากับท้องถิ่น (localization) การดำเนินกิจกรรมการผลิตนอกประเทศ (offshoring) และการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (reshoring) ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ รวมทั้ง
นายแทน กล่าวต่อว่า "การเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในเทคโนโลยีการผลิต ต้นทุนแรงงาน และตลาดผู้บริโภคที่เกิดใหม่ โดยตลอดทศวรรษที่ผ่านมา อาเซียนถูกมองเป็นทางเลือกในการเป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่งสำหรับบริษัทข้ามชาติ จากบทบาทของอาเซียนในการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่ ฐานผู้บริโภคที่กำลังขยายตัว และความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนที่แข็งแกร่ง"
"ธุรกิจจากประเทศจีน ยุโรป และสหรัฐอเมริกาต้องการจะเห็นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย เป็นทางเลือกที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าราคาถูกต่อไป และหลายโครงการริเริ่มดังเช่น เส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (Belt and Road) กำลังเร่งทวีกำลังการผลิตของภูมิภาคนี้ให้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อพัฒนาศักยภาพห่วงโซ่อุปทานที่เป็นจุดขายของภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำเป็นต้องสร้างภาพตนเองให้เด่นชัด และสร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นแก่บรรดาบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการบริหารจัดการคำสั่งผลิตและส่งมอบสินค้า"
ทั้งนี้ มีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่จะมีผลต่อบริษัททั้งรายใหญ่และรายเล็ก รวมไปถึงการที่อาเซียนจะบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างไรให้สามารถแข่งขันได้ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างไรเพื่อปรับปรุงผลิตภาพ โดยในท้ายที่สุดจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องด้วย ตลอดจนการที่ธุรกิจต่าง ๆ รู้สึกมั่นใจหรือไม่ว่าจะมีการบริหารจัดการคำสั่งผลิตได้ตรงเวลา และด้วยงบประมาณที่กำหนด
โดยในระดับรัฐบาล ประเด็นเหล่านี้จำเป็นต้องส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่บริษัทต่างชาติเกี่ยวกับกรอบกฎระเบียบและข้อบังคับ สิทธิประโยชน์ทางภาษี และเขตการค้าเสรี ควบคู่ไปกับการชี้แจงถึงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือ รางรถไฟ และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งอื่น ๆ
รัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนจำเป็นจะต้องแสดงให้เห็นถึงแนวทางที่นำไปสู่การริเริ่มในระยะยาวเพื่อขจัดอุปสรรคการค้าที่มิใช่มาตรการทางภาษีสำหรับการไหลเวียนสินค้าทั่วอาเซียน การพัฒนาแรงงานฝีมือ และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และการเคลื่อนย้ายข้อมูลเชิงพาณิชย์ระหว่างประเทศ
ประเด็นที่ควรให้ความสนใจโดยเฉพาะเพื่อปรับปรุงกระแสการค้าภายในภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย
ข้อมูลจากองค์กรกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (World Economic Forum) ระบุว่า การลดอุปสรรคในการจัดการห่วงโซ่อุปทานจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตร้อยละ 9.3 และการส่งออกของภูมิภาคขยายตัวขึ้นร้อยละ 12.1
นายแทน กล่าวสรุปว่า "แม้ว่าความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกอย่างจีนโดยทั่วไปแล้วดำเนินไปด้วยดีและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีประเด็นต่าง ๆ อีกมากภายในอาเซียนที่ต้องจัดการ เพื่อปรับปรุงกระแสการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาคให้ดียิ่งขึ้น ความคล่องตัวและความรวดเร็วในการตอบสนองของรัฐบาลอาเซียนและองค์กรธุรกิจต่อปัจจัยท้าทายเหล่านี้จะตัดสินว่าศักยภาพห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคจะเป็นที่ยอมรับของบรรดาบริษัทต่างชาติที่กำลังทบทวนวิถีทางธุรกิจของตนเองอยู่ในขณะนี้หรือไม่"
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit