นอกจากนี้โรงแรมทั้ง 3 แห่งในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่กองทรัสต์ได้เข้าลงทุน มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกรงซึ่งสวนกระแสภาพรวมธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวในประเทศไทยที่กำลังอยู่ในภาวะชะลอตัว หลังจากได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในไทยลดลง
โรงแรมทั้ง 3 แห่งในต่างประเทศซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เข้าลงทุน ได้แก่ 1.โรงแรม Pullman Jakarta Central Park ในกรุงจากาต้าร์ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 317 ห้อง 2.โรงแรม Capri by Fraser ระดับ 4 ดาว โดยมีห้องพักจำนวน 175 ห้อง และ 3.โรงแรม IBIS Saigon South ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว จำนวน 140 ห้อง ในเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ล้วนเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่เป็นประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพเป็นที่นิยมผู้เข้าพักที่เป็นนักท่องเที่ยวในประเทศและต่างชาติรวมถึงนักธุรกิจ นอกจากนี้ยังจับกลุ่มลูกค้าเข้าพักที่แตกต่างกันโดยเป็นโรงแรมตั้งแต่ระดับ 3-5 ดาว จึงเป็นการกระจายความเสี่ยงในการจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ดี
สำหรับโรงแรมในประเทศอินโดนีเซียนั้น มีผู้เข้าพักส่วนหนึ่งที่มาจากกลุ่มลูกค้าภายในประเทศ ทั้งที่เป็นนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว นอกจากนี้โรงแรมยังได้รับความนิยมในการจัดงานแต่งงานและ การประชุมและสัมมนา (MICE) อีกด้วย ขณะที่โรงแรมอีก 2 แห่งในประเทศเวียดนาม มีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจและมีการกระจายกลุ่มลูกค้าที่ดี เช่นกลุ่มนักธุรกิจที่เข้าร่วมจัดงานแสดงสินค้าหรือการประชุมและสัมมนา (MICE) และนักท่องเที่ยวจากต่างชาติและในประเทศ นอกจากโรงแรมทั้ง 2 แห่งยังมีการเติบโตของรายได้อาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย
กรรมการผู้จัดการ สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส กล่าวว่า ปัจจุบัน SHREIT มีแผนเพิ่มทุนกองทรัสต์ไม่เกิน 415 ล้านหน่วยและกู้ยืมเงินประมาณ 67.5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 2,363ล้านบาท) เพื่อลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์โรงแรมในภูมิภาคอาเซียนอีก 2 แห่ง ได้แก่ 1.) การลงทุนในสิทธิการเช่าโรงแรม Sofitel Bali Nusa Dua Beach Resort บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว จำนวนห้องพักรวม 398 ห้อง และบ้านพักวิลล่าจำนวน 17 หลัง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและห้องประชุมจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ รองรับการประชุมระดับนานาชาติได้ และ 2.) การลงทุนกรรมสิทธิ์ในโครงการโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่ตั้งอยู่ในเขต Chow Kit บริเวณใกล้กับ Kuala Lumpur City Centre (KLCC) ซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยโรงแรมดังกล่าว มีห้องพักรวม 532 ห้อง มาตรฐานระดับ 4 ดาว ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลแห่งเดียวในย่านนั้น
สำหรับสินทรัพย์ใหม่ทั้ง 2 แห่ง มีศักยภาพการเติบโตที่ดี เนื่องจากเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจากหลากหลายชาติทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีน อินเดียและตะวันออกกลาง โดย 10 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตของนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 4.8% ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวภายในประเทศให้ความนิยมเดินทางท่องเที่ยวมายังเมืองดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 12.3% เช่นกัน ส่วนเมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ที่เป็นหนึ่งในเมืองจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ส่งผลดีต่อจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตเฉลี่ย 14.6%
"ภายหลังจากที่กองทรัสต์ SHREIT เข้าลงทุนเพิ่มเติมแล้วเสร็จ จะมีขนาดมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในกองรีทที่ลงทุนในโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหน่วยอีกด้วย" นายปธาน กล่าว
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ได้ออกบทวิเคราะห์ประเมินราคาหลักทรัพย์ SHREIT ในปี 2562 โดยให้ราคาอยู่ที่ 10.40-10.70 บาท โดยมองว่าสินทรัพย์ที่ SHREIT เข้าลงทุนนั้นมีการกระจายความเสี่ยงจากทำเลที่ตั้งในหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจอยู่ในช่วงกำลังขยายตัว อีกทั้งสินทรัพย์ใหม่ที่จะเข้าลงทุนในสิทธิการเช่าโรงแรม Sofitel Bali Nusa Dua Beach Resort บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และการลงทุนกรรมสิทธิ์ในโครงการโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เป็นสินทรัพย์คุณภาพและช่วยกระจายความเสี่ยงสินทรัพย์ได้ดีขึ้น และมีความหลากหลายสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ทุกกลุ่ม จึงรับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit