เอไอเอส ตอกย้ำ ผู้นำอันดับ 1 ด้านนวัตกรรมเครือข่ายและเทคโนโลยี ผนึกพาร์ทเนอร์ระดับโลก ให้คนไทยได้ทดสอบเทคโนโลยีอนาคต “5G” เป็นรายแรก

22 Nov 2018
เอไอเอส ผนึกกำลังพาร์ทเนอร์ระดับโลก โนเกีย หัวเหว่ย และ แซดทีอี ทดสอบเทคโนโลยี 5G เป็นรายแรก เชิญคนไทยร่วมเตรียมความพร้อมรับเทคโนโลยีอนาคต พร้อมทดลองสัมผัสประสบการณ์ก่อนใคร เพื่อให้ภาคธุรกิจ และทุกอุตสาหกรรมเห็นภาพของประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจาก 5G ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา ช่วยเสริมแรงบันดาลใจที่จะเตรียมความพร้อมองค์กรให้สอดรับกับเทคโนโลยีอนาคตที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้
เอไอเอส ตอกย้ำ ผู้นำอันดับ 1 ด้านนวัตกรรมเครือข่ายและเทคโนโลยี ผนึกพาร์ทเนอร์ระดับโลก ให้คนไทยได้ทดสอบเทคโนโลยีอนาคต “5G” เป็นรายแรก

นายวีรวัฒน์ เกียรติพงษ์ถาวร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจสัมพันธ์และองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "หน้าที่หลักในฐานะ Digital Life Service Provider คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ดีที่สุดเพื่อประเทศ เราจึงไม่เคยหยุดทำงานพร้อมนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมามอบให้แก่คนไทยเสมอ นอกจากนี้อีกหน้าที่หลักซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการซึ่งมีคลื่นความถี่มากที่สุดคือ 120 MHz เราจะต้องนำทรัพยากรคลื่นความถี่มาสร้างมูลค่าและประโยชน์ให้แก่อุตสาหกรรมและประเทศไทยอย่างดีที่สุด หมายรวมถึง การศึกษา ค้นคว้า วิจัย เทคโนโลยีใหม่ๆอย่างกรณี 5G ที่ต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างสม่ำเสมอ เพราะอย่างที่ทราบกันดีกว่า 5G คือ โอกาสครั้งสำคัญที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมไปอีกขั้น"

"จึงเป็นที่มาว่าในเดือนตุลาที่ผ่านมา เอไอเอสและโนเกีย จึงยื่นเรื่องขอทดสอบ 5G และได้รับอนุญาตนำเข้าอุปกรณ์เพื่อดำเนินการสาธิต 5G จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2561 และได้ยื่นเรื่องขอดำเนินการสาธิต 5G ให้กับ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองงานของ กสทช ด้านกิจการโทรคมนาคม เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 โดยวันนี้คณะกรรมการ กสทช. ได้อนุมัติให้เอไอเอสและโนเกียสามารถเปิดการสาธิต 5G บนคลื่น ความถี่ย่าน 26.5-27.5 GHz ได้อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2561 ซึ่งพร้อมเปิด ให้คนไทย และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้สัมผัสประสบการณ์และใช้เทคโนโลยี 5G ครั้งแรกในเมืองไทย ในงาน "5G the First LIVE in Thailand by AIS" ณ AIS DC ชั้น 5 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม (ชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย) เพื่อให้เห็นประโยชน์ของ 5G ที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะเทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจทุกระดับ อันจะเป็นการยกระดับขีดความสามารถเศรษฐกิจและสังคม โดยจะทยอยนำเสนอเทคโนโลยีจากพันธมิตรระดับโลกรายอื่นๆอย่างต่อเนื่อง"ภายในงาน "5G the First LIVE in Thailand by AIS" เริ่มต้นด้วยความร่วมมือกับ NOKIA ผู้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีระดับโลก ที่นำการสาธิต 5G ผ่าน 5 รูปแบบนวัตกรรมสุดล้ำ ครั้งแรกของเมืองไทย ประกอบด้วย

1. 5G Super Speed

การแสดงศักยภาพที่สำคัญของเครือข่าย 5G เช่น ความเร็วในการรับส่งสัญญาณ (Throughput) และความหน่วง (Latency)

2. 5G Ultra Low Latency – Cooperative Cloud Robot

การสาธิตประสิทธิภาพการตอบสนองที่รวดเร็วของเครือข่าย 5G โดยการใช้หุ่นยนต์สามตัวในการหาจุดสมดุล ที่ทำให้ลูกบอลอยู่กึ่งกลางกระดาน การสาธิตแสดงเวลาที่หุ่นยนต์ใช้ในการหาจุดสมดุลผ่านการสื่อสารระหว่างกันโดยใช้เครือข่าย 4G เปรียบเทียบกับเครือข่าย 5G

3. 5G for Industry 4.0

หุ่นยนต์จะมีบทบาทอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 การทำงานร่วมกันของเครื่องจักรจากหลายสายการผลิตต้องการการเชื่อมต่อไร้สายที่มีความหน่วงต่ำและความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งจะทำให้สายการผลิตทำงานได้เร็วขึ้น ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการสาธิตหุ่นยนต์ YuMi(R) Dual-Arm Collaborative Robot จาก ABB ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย 5G

4. 5G Virtual Reality – immersive video

การสาธิต การดูวีดีโอที่แสดงสภาวะเสมือนจริง (immersive video) ผ่านเครือข่าย 5G ผู้ที่ใส่แว่นตา VR จะสามารถมองเห็นได้รอบด้าน 360 องศา การดูวีดีโอ VR ที่มีความคมชัด ต้องการ bandwidth ที่สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการถ่ายทอดสด หรือ live streaming

5. 5G FIFA Virtual Reality

ทดลองความเร็วของเครือข่าย 5G ด้วยตัวคุณเอง โดยการเตะลูกบอล Virtual Reality ที่จุดโทษผ่านเครือข่าย 5G

นายวีรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "เราเชื่อว่า 5G จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะร่วมขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพจากคุณสมบัติ 3 ส่วน

  • ยกระดับความเร็วการใช้ดาต้า (Enhanced Mobile Broadband-EMBB) เน้น "ความเร็ว(Speed)"
  • ขยายขีดความสามารถการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่ออุปกรณ์ (Massive machine type communications-mMTC) เน้น สนับสนุน IoT ที่จะถูกนำมาใช้อย่างมหาศาล
  • เพิ่มคุณภาพเครือข่ายให้สามารถตอบสนองได้รวดเร็วและเสถียรที่สุด (Ultra-reliable and low latency communications) เน้น ประสิทธิภาพความเร็วในการตอบสนอง หรือ Low Latency ที่จะตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางการแพทย์ หรือ อุตสาหกรรมยานยนต์อย่าง Self Driving Car อย่างมีประสิทธิภาพ

"ซึ่งเอไอเอสได้เตรียมวางรากฐานเครือข่ายในทั้ง 3 แกนมาอย่างต่อเนื่อง อย่างในแกน Speed ได้เปิดตัว 4.5G ที่เร็วระดับกิกะบิท และ เปิดตัว Massive MIMO 32T32R ครั้งแรกในโลก รวมถึงการเปิดให้บริการ NEXT G พร้อมผนึกกำลังพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตชิปและสมาร์ทโฟน ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์เร็วแรงระดับกิกะบิทครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนในแกน IoT นอกจากการพัฒนาเครือข่ายทั้ง NB IoT และ EMTC แล้ว ยังเป็นรายแรกในไทยที่เปิดให้บริการ IoT เชิงพาณิชย์อีกด้วย ส่วนในแกน การตอบสนอง หรือ Latency เอไอเอสก็ได้เริ่มศึกษาและเป็นรายแรกที่เริ่มต้นปรับโครงสร้างเครือข่ายหลักที่กระจายอยู่ในแต่ละภูมิภาค (AIS Core Network Architecture Ready for 5G) ให้สามารถสื่อสารตรงไปยังเซิร์ฟเวอร์บริการต่างๆได้ทันที โดยไม่ต้องย้อนกลับมาผ่านศูนย์กลางเครือข่ายในส่วนกลาง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้อัตราการตอบสนองได้เร็วขึ้น เพราะค่า Latency ต่ำ ทำให้เมื่อประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ แล้วจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด"

"และการทดสอบเทคโนโลยี 5G ครั้งนี้ คือ 1 ในการเตรียมความพร้อมของเอไอเอส ที่จะทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ และพร้อมนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อตอบสนองการพัฒนาประเทศในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน" นายวีรวัฒน์ ย้ำในตอนท้าย

งาน "5G the First LIVE in Thailand by AIS" จะจัดแสดงตั้งแต่ 22 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม 2561 ณ AIS DC ชั้น 5 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม (ชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย)

#5GThe1stLiveByAIS

HTML::image( HTML::image( HTML::image(