ขณะเดียวกัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ตั้งศูนย์อำนวยการติดตามโครงการทำถนนและยางพารา ควบคู่กับกระทรวงมหาดไทย เพื่อบูรณาการทำงานสนับสนุนและช่วยเหลือกัน และยืนยันว่าโครงการนี้สามารถดูดซับปริมาณยางพาราที่มีอยู่จำนวนมากให้หมดลงไปได้ อีกทั้งได้รับการรายงานว่า จ.เชียงใหม่ มีน้ำยางพาราจำนวน 3,000 ตัน อปท. จำนวน 65 องค์กร ได้รับรายงานจากผู้ว่าฯ ว่า น้ำยางที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่พอต่อความต้องการ จึงได้แนะแนวทางในการนำน้ำยางจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง มาใช้ได้ ส่วนการซื้อน้ำยางสด ขอให้ซื้อจากสถาบันเกษตรกร, กลุ่มเกษตรกร, สหกรณ์การเกษตรและรัฐวิสาหกิจชุมชน ซึ่งการยางแห่งประเทศไทย ( กยท.) เป็นผู้รับรอง และในการซื้อน้ำยางนั้น ใช้ราคากลางซึ่ง กยท. ประกาศทุกวัน เป็นราคารับซื้อ
"กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สนับสนุนให้ซื้อน้ำยางจากสถาบันเกษตรกรโดยตรง เนื่องจากขณะนี้ชาวสวนยางกำลังได้รับความเดือดร้อนและเพื่อเป็นการดูดซับ และรัฐบาลพยายามดูแลให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้และมีรายได้มากขึ้น อีกทั้งกระทรวงเกษตรฯ จะเชิญผู้ประกอบการแปรรูปทำยางล้อรถยนต์ ทั้งในและต่างประเทศ มาร่วมหารือกัน ซึ่งในส่วนของการจำหน่ายต่างประเทศนั้น จะขอความร่วมมือให้รับซื้อน้ำยางพารามากขึ้นกว่าปกติ" นายกฤษฎา กล่าว