นายอรรถพงศ์ พรธิติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายวาณิชธนกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากทรัสต์ SHREIT ได้กำหนดจำนวนหน่วยทรัสต์ที่จะออกเพิ่มเติมในการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 ไม่เกิน 410 ล้านหน่วย โดยจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหน่วยเดิมที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยที่มีสิทธิในการจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมซึ่งไม่ใช่บุคคลอเมริกัน (U.S. Person) (Preferential Public Offering) จำนวน 207.5 ล้านหน่วย หรือประมาณร้อยละ 50.6 ของจำนวนหน่วยทรัสต์ที่เสนอขายเพิ่มเติม ในอัตราส่วน 1 หน่วยทรัสต์เดิม ต่อ 0.5881 หน่วยทรัสต์ที่เสนอขายเพิ่มเติม และส่วนที่เหลือจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหน่วยเดิมให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering) และกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายของหน่วยทรัสต์ที่ออกเพิ่มเติมในครั้งนี้ที่ 9.45 บาทต่อหน่วย โดยกองทรัสต์จะระดมทุนโดยการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพ่มเติมในครั้งนี้และเงินกู้ยืม เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ 2 แห่งในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์รวมกันไม่เกิน 171.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5,684 ล้านบาท)
ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุมัติแบบคำขอเสนอขายหน่วยทรัสต์ที่ออกใหม่ โดยแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหน่วยทรัสต์ และหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหน่วยทรัสต์ มีผลบังคับใช้เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น จึงเตรียมเปิดให้ผู้ถือหน่วยเดิมที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ ณ วันที่ 23 พ.ย. 2561 สามารถจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ในวันที่ 6 – 11 ธันวาคม 2561และเปิดให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปจองซื้อในวันที่ วันที่ 6 -13 ธันวาคม 2561กำหนดเงื่อนไขจองซื้อขั้นต่ำที่ 1,000 หน่วยและเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ 100 หน่วย โดยสามารถจองซื้อหน่วยทรัสต์ SHREIT ได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)ในช่วงวันและเวลาทำการ หรือตัวแทนจำหน่ายหน่วยทรัสต์รายละเอียดตามหนังสือชี้ชวนที่มีผลบังคับใช้
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีความมั่นใจต่อการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติม SHREIT จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมและนักลงทุนรายใหม่ เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่ดีมาตลอดนับตั้งแต่จัดตั้งกองทรัสต์เมื่อปลายปี 2560 โดยปัจจุบันมีทรัพย์สินที่เข้าลงทุนครั้งแรกในกรรมสิทธิ์แบบต่ออายุได้และสิทธิการเช่าโรงแรมระดับ 3-5 ดาวในภูมิภาคอาเซียน รวม 3 แห่ง ได้แก่ 1.โรงแรม Pullman Jakarta Central Park ระดับ 5 ดาว จำนวน 317 ห้อง ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย 2.โรงแรม Capri by Fraser ระดับ 4 ดาว จำนวน 175 ห้อง และ 3.โรงแรม IBIS Saigon South ระดับ 3 ดาว จำนวน 140 ห้อง ในเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม
โดยนักลงทุนที่ถือหน่วยทรัสต์ SHREIT ตั้งแต่วันที่เข้าทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะได้รับเงินจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุนตลอด 10 เดือนแรกของปีนี้ (สิ้นสุด ต.ค. 2561) ทั้งในรูปเงินปันผลและเงินลดทุน รวมทั้งสิ้น 0.5997 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ SHREIT เป็นกองทรัสต์ที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทโรงแรม ที่ให้เงินจ่ายตอบแทนจากการลงทุนติดอันดับต้นๆ ของกองทรัสต์โรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์อิสระที่บริหารโดยมืออาชีพ และผู้จัดการกองทรัสต์ SHREIT กล่าวว่า ทรัสต์ SHREIT จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์โรงแรมในภูมิภาคอาเซียนอีก 2 แห่ง ได้แก่ 1. การลงทุนในสิทธิการเช่าโรงแรม Sofitel Bali Nusa Dua Beach Resort บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว จำนวนห้องพักรวม 398 ห้อง และบ้านพักวิลล่าจำนวน 17 หลัง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและห้องประชุมจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ รองรับการประชุมระดับนานาชาติได้ และ 2. ลงทุนกรรมสิทธิ์ในโครงการโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur ระดับ 4 ดาว จำนวน 532 ห้อง ที่ตั้งอยู่ในเขต Chow Kit ใกล้กับ Kuala Lumpur City Centre (KLCC) ย่านศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และเป็นโรงแรมแบรนด์นานาชาติแห่งเดียวในย่านนั้น
"เรามั่นใจทรัพย์สินใหม่ทั้ง 2 แห่งที่เข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 กระจายอยู่ในทำเลเมืองท่องเที่ยวและย่านธุรกิจ รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน จึงมีการกระจายความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม โดยกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลากหลาย ทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีน อินเดียและตะวันออกกลาง โดยตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวเฉลี่ยที่เข้ามาพักในโรงแรม 5.9% ต่อปี ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวภายในประเทศนิยมเดินทางท่องเที่ยวมายังเมืองดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 9.0% ส่วนบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เป็นหนึ่งในเมืองจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก จึงส่งผลดีต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตเฉลี่ย 14.8% ต่อปี" นายปธาน กล่าว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit