นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยถึง แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้าปริมาณการขายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ไว้ประมาณ 3.8 ล้านตัน หรือเติบโตขึ้นราว 10 % จากปีที่ผ่านมา และวางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 75,000 ล้านบาท เป็นไปตามยอดขายต่างประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง ตามความต้องการ LPG ในภูมิภาคเอเชียที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตสูง โดยบริษัทจะเน้นไปที่ตลาดเกิดใหม่ที่มีประชากรหนาแน่น เช่น ประเทศบังคลาเทศและเวียดนาม ขณะที่ราคาก๊าซ LPG ปี 62 คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 500-600 เหรียญสหรัฐ/ตัน
"กลยุทธ์ปีนี้สยามแก๊สฯ ยังคงเน้นการขยายธุรกิจ LPG ในต่างประเทศที่ยังไม่ได้เข้าไปรุกตลาด และมีความต้องการใช้ LPG โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มเอเชีย เช่น พม่า อินเดีย และศรีลังกา เป็นต้น ด้วยโมเดลทางธุรกิจแบบในประเทศไทย ครอบคลุมต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ไปยังประเทศที่มีศักยภาพ ตั้งแต่การจัดหา จัดสรร นำเข้า การกระจายสินค้าโดยตรงไปยังโรงอัดบรรจุ สถานีบริการ และอุตสาหกรรม รวมถึงการขายส่งผ่านตัวแทนขายด้วย ซึ่งจะทำให้บริษัทมีมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น ตลอดจนการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ที่มีรายได้สม่ำเสมอ อาทิเช่น โรงไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อที่จะทำให้บริษัทมีผลกำไรที่มีความมั่นคงมากขึ้น" นายศุภชัย กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในประเทศต่างๆ บริษัทคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการในส่วนของคลังก๊าซแอลพีจีที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในช่วงปลายไตรมาส 1/2562 โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 10,000 ตัน/เดือน และที่เมืองปีนัง คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 4/2562 สำหรับคลังก๊าซแอลพีจีในประเทศเมียนมานั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 1/2563 โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 8,000-10,000 ตัน/เดือน
นอกจากนี้ บริษัทยังคงมีความสนใจเข้าไปลงทุนคลังก๊าซ LPG ในประเทศบังคลาเทศเพิ่มเติม เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบการลงทุน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2562 ปัจจุบันบริษัทมียอดขายแก๊สที่ขายเข้าไปในบังคลาเทศแล้ว ในลักษณะของการขายส่งเป็นลำเรือ โดยปี 62 นี้คาดว่ายอดขายจะอยู่ราว 30,000 - 40,000 ตัน/เดือน
ด้านความคืบหน้าการลงทุนสร้างคลังและโรงบรรจุก๊าซ LPG ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ขณะนี้ได้จัดตั้งบริษัทย่อย และดำเนินการจัดหาที่ดินเพื่อลงทุน คาดว่าจะได้ความชัดเจนได้ในปี 62
ส่วนการลงทุนคลังก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และท่าเรือขนส่ง จังหวัดระยอง บนพื้นที่ 155 ไร่ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งบริษัทมีแผนขยายธุรกิจใหม่ในการขายส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ให้กับโรงไฟฟ้าในบริเวณเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยปัจจุบันกำลังพัฒนาพื้นที่ในบริเวณท่าเรือมาบตาพุด เพื่อเตรียมก่อสร้างท่าเทียบเรือ สถานี รับ จ่าย ที่สามารถรองรับปริมาณขายได้ปีละ 2 ล้านตัน คาดจะเริ่มเปิดดำเนินงานจริงในปี 2565
นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้า ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้า 2 แห่งในประเทศเมียนมา มีขนาดกำลังการผลิต 230 เมกะวัตต์ และขนาดกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ดำเนินการจ่ายไฟเข้าระบบในเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วทั้งสองแห่ง โดยบริษัทเชื่อว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าจะช่วยให้ผลกำไรของบริษัทมีความสม่ำเสมอและมั่นคง ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้สำหรับผลประกอบการในงวดปี 2561 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ 871 ล้านบาท มีรายได้รวม 69,103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้ 59,629 ล้านบาท เป็นผลมาจากที่บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นราว 7.6% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปี 61 มียอดขาย 3.43 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 3.19 ล้านตันในปี 60
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอผู้ถือหุ้นจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการของ
ปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 0.45 บาท โดยได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครึ่งปีแรกงวดมกราคม – มิถุนายน 2561 ไปแล้ว หุ้นละ 0.25 บาท คงเหลือจ่ายเงินปันผลในรอบครึ่งปีหลังงวดเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2561 หุ้นละ 0.20 บาท ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับมติของผู้ถือหุ้นในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2562 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) วันที่ 7 มีนาคม 2562 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 15 พฤษภาคม 2562
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit