JCK ลั่นปี 62 เร่งพัฒนานิคมฯหนุนรายได้โตแรง คาดยอดขายที่ดิน "นิคมฯทีเอฟดี 2" ฮอตแตะ 200 ไร่ เล็งคลอดกองรีทมูลค่า 2,000 –2,500 ลบ. สิ้นปีนี้

12 Mar 2019
JCK หรือ TFD เดิม ประเมินปี 62 สดใสคาดโตเกิน 100% ทั้งรายได้และกำไรโตต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2จำนวน 200 ไร่ ขณะที่เร่งพัฒนานิคมฯ โครงการ 2 มีความคืบหน้าแล้วกว่า 65% เผยเตรียมเจรจาขายคลังสินค้าในอังกฤษอีก 1 แห่ง มูลค่า 700-800 ล้านบาท ระบุเตรียมจัดตั้งกองรีท ขนาด 2,000-2,500 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า ส่วนธุรกิจคอนโดฯ จะเริ่มรับรู้ยอดโอนโครงการ "The Artisan" มั่นใจหนุนผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ
JCK ลั่นปี 62 เร่งพัฒนานิคมฯหนุนรายได้โตแรง คาดยอดขายที่ดิน "นิคมฯทีเอฟดี 2" ฮอตแตะ 200 ไร่  เล็งคลอดกองรีทมูลค่า 2,000 –2,500 ลบ. สิ้นปีนี้

นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JCK หรือเดิมชื่อTFD เปิดเผยว่า "บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2562 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2561 ที่มีผลกำไรจากการดำเนินงานเกือบ 180 ล้านบาท แต่เนื่องจากต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนการกิจการร่วมค้าที่ลงทุนโครงการคอนโด The Artisan ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างประมาณ 93 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีผลกำไรสุทธิในปี 2561 เท่ากับ 85 ล้านบาท

สำหรับปี 2562 คาดว่ารายได้จากการขายที่ดินจะเป็นปัจจัยหลักที่จะสร้างรายได้ และผลักดันผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตต่อเนื่องจากปี 2561 เพราะธุรกิจนิคมฯ มีอัตรากำไรค่อนข้างสูง และปัจจุบันมีลูกค้าที่สนใจซื้อที่ดินโครงการของบริษัทอยู่หลายรายทั้งผู้ประกอบการเดิมที่อยู่ในนิคมฯ และลูกค้ารายใหม่ เนื่องจากโครงการของบริษัทเป็นนิคมฯ ที่ตั้งอยู่ในเขต EEC ประกอบมีโลเคชั่นที่ดี ติดตลอดแนวถนนมอเตอร์เวย์เกือบ 4 กิโลเมตร และติดถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทรา อีกทั้งเป็นนิคมฯ ในเขต EEC ที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุดทำให้ที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี มีความน่าสนใจมากขึ้น

บริษัทเชื่อมั่นว่าในปี 2562 จะสามารถปิดยอดขายที่ดินในนิคมทีเอฟดี 2 ได้ไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และยังได้รับอานิสงส์จากวิกฤตสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้มีลูกค้ารายใหม่หลายรายจากประเทศจีนที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนมาไทยอีกเพียบ" นายอภิชัยกล่าว

สำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2 นั้น ตอนนี้มีความคืบหน้าไปกว่า 65%และคาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินไตรมาสที่ 3 ของปี 2562

ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขาย Warehouse 1 แห่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถขายและรับรู้รายได้ไม่เกินกลางปี 2562 โดยมีมูลค่าขายอยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท ส่วนธุรกิจคลังสินค้าในไทยเป็นคลังสินค้าให้เช่า มีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่าในปี 2562น่าจะปล่อยเช่าพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30,000 ตรม. เมื่อรวมกับพื้นที่เช่าปล่อยเดิมอีกประมาณ 32,000 ตรม. ยอดรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 62,000 ตรม.

ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจะขายคลังสินค้าบางส่วน เข้าไปเป็นสินทรัพย์หลักของกอง REIT ซึ่งน่าจะมีขนาดเสนอขายไม่น้อยกว่า 2,000 – 2,500 ล้านบาท และคาดว่ารายได้ในส่วนนี้ บริษัทจะรับรู้เข้ามาประมาณไตรมาส 4 ปี 2562 หรืออย่างช้าไม่เกินกลางปี 2563นอกจากนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 บริษัทได้ทำสัญญาซื้อขายโรงงานและคลังสินค้าที่บางเสาธง จำนวน 2 หลัง ซึ่งเป็นโรงงานว่าง 1 หลัง และที่เช่าอยู่แล้ว 1 หลัง คาดจะโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาสที่ 1 ของปี 2562 มูลค่าขายรวมประมาณ 100 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเจรจาขายเพิ่มเติมอีก 1 หลัง ซึ่งเร่งจะปิดขายให้ได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2562

สำหรับธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการ The Artisan กับพันธมิตรด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศจีน มูลค่าโครงการรวม 6,800 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองแล้วเกือบ 60% มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้วประมาณ 30% บริษัทคาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนดังกล่าวในช่วงปลายปี 2562 เป็นต้นไป