สยามพิวรรธน์ ประกาศจุดยืน “ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์” (Creative Economy) พัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย นำไทยยิ่งใหญ่บนเวทีโลก

12 Mar 2019
- ฉลองความสำเร็จครบรอบ 60 ปีกับการเติบโตแบบก้าวกระโดด ผงาดขึ้นแท่น "ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์" (Creative Economy) ในวงการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์
สยามพิวรรธน์ ประกาศจุดยืน “ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์” (Creative Economy) พัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย นำไทยยิ่งใหญ่บนเวทีโลก
  • ก้าวข้ามการแข่งขันในประเทศ มุ่งเป้า 'นำไทยยิ่งใหญ่บนเวทีโลก'
  • ผนึกกำลังพันธมิตรระดับโลก เพื่อพัฒนาเมือง ขยายธุรกิจด้านค้าปลีก สร้างมหาปรากฏการณ์อย่างต่อเนื่อง
  • ยึดมั่นและสานต่อรูปแบบ Co-creation ร่วมกับพันธมิตร สร้างประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่ายให้เติบโตอย่างยั่งยืน

กรุงเทพฯ (12 มีนาคม 2562) – บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของ 'ไอคอนสยาม' อภิมหาโครงการเมืองสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ประกาศจุดยืน "ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์" (Creative Economy) ด้วยการนำความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย มุ่งสร้างชื่อเสียงประเทศไทยให้ยิ่งใหญ่บนเวทีโลก เผยกลยุทธ์สำคัญใน 5 ปีข้างหน้า พร้อมฉลองการเข้าสู่ปีที่ 60 ด้วยความสำเร็จของธุรกิจที่เติบโตแบบก้าวกระโดดนับจากปี 2557 ถึงวันนี้ รายได้เติบโตขึ้นถึงเท่าตัว

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า "ตลอด 60 ปี สยามพิวรรธน์มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในการสร้างต้นแบบ และนำมาตรฐานใหม่ๆ มาพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด เราสร้างปรากฎการณ์ปฏิวัติวงการให้เกิดขึ้น ครั้งแล้วครั้งเล่า และจากทิศทางที่สยามพิวรรธน์ได้ประกาศไปเมื่อ 5 ปีก่อน วันนี้เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสยามพิวรรธน์ได้สร้างมหาปรากฏการณ์ระดับโลกให้เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่การเปลี่ยนสยามเซ็นเตอร์ ให้กลายเป็นเมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์ และการปรับโฉมสยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรียม ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางรูปแบบไฮบริดรีเทล ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ศูนย์การค้าไทยได้รับรางวัลชนะเลิศจากทั้งวงการศูนย์การค้าและการค้าปลีกของโลกพร้อมกัน และล่าสุด สำหรับการเปิดอภิมหาโครงการเมืองไอคอนสยามที่เป็นกระแสร้อนแรงที่สุดแห่งปี 2561 ที่องค์กรและสมาคมสำคัญในวงการค้าปลีกและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศได้ยกย่องให้เป็นโครงการต้นแบบของ Creative Innovation ที่ผสานเรื่องราวของ Art-Culture เข้ากับ Retail และ Entertainment อย่างสมบูรณ์แบบ ถือเป็นโครงการที่พลิกเกมส์ครั้งยิ่งใหญ่ (Game Changing) เราได้เอาชนะความท้าทายทุกประเภท ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เราเดินหน้าพัฒนาโครงการไอคอนสยามจนสำเร็จ เราได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ (New Paradigm) ในการทำธุรกิจในรูปแบบ Shared Values บนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยยกเอาความล้ำสมัยจากใจกลางเมืองมาผสมผสานกับวัฒนธรรมและความงดงามของความเป็นไทย พร้อมกับนำธุรกิจอื่นๆ มาร่วมสร้างเมืองแห่งความรุ่งโรจน์นี้ ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่คนจากทั่วโลกอยากมาเยี่ยมชม"

"ความภาคภูมิใจ และประสานประโยชน์ของสยามพิวรรธน์ คือการที่ธุรกิจของเราได้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับการสร้างคุณค่าร่วมกันในทุกมิติให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ตั้งแต่ พันธมิตรทางธุรกิจ คู่ค้า ชุมชน สังคม เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และร่วมกันนำชื่อเสียงเกียรติภูมิมาสู่ประเทศไทย"

ทั้งนี้ นางชฎาทิพ กล่าวต่อว่า "สยามพิวรรธน์ ในวันนี้ก้าวข้ามการแข่งขันในประเทศ สู่การเป็น "ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์" (Creative Economy) ที่จะผนึกกำลังคนไทยทุกระดับ ชูความสามารถ และต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่แปลกใหม่เป็นคนแรก และสร้างมหาปรากฎการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน นำพาเกียรติยศและการยอมรับบนเวทีโลกมาสู่คนไทย และประเทศไทยของเรา โดยได้วางแผนกลยุทธ์ใหม่ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ และกำหนดทิศทางการลงทุนของสยามพิวรรธน์ ซึ่งจะเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกับคนไทยทั้งประเทศ และพันธมิตรชั้นนำในต่างประเทศ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหนือชั้นเพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดแบบครบวงจร โดยเราตั้งเป้าว่าในอีก 5 ปีข้างหน้ารายได้กลุ่มธุรกิจของเราจะโตขึ้นอีก1 – 1.5 เท่า"

ด้วยจุดยืนที่แข็งแกร่งและแตกต่างนี้ สยามพิวรรธน์ ได้เผยกลยุทธ์สำคัญที่จะเป็นแผนธุรกิจ 5 ปี ดังนี้:

1. เดินหน้าสร้างมหาปรากฏการณ์ โครงการระดับโลกทั้งในและต่างประเทศ ต่อยอดจากความสำเร็จของ วันสยาม และไอคอนสยาม

ด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเมือง โครงการที่สยามพิวรรธน์สร้างขึ้นจะต้องเป็นโครงการขนาดใหญ่ ต้องปฏิวัติวงการค้าปลีก (Retail revolution) และต้องเป็นโครงการที่สร้างสรรค์โดยเฉพาะ(Tailor made) ซึ่งความสำเร็จในทุกโครงการที่ผ่านมาทำให้สยามพิวรรธน์ได้รับการติดต่อจากผู้ประกอบการในต่างประเทศให้ไปร่วมลงทุน หรือเป็นที่ปรึกษาในการทำโครงการ และล่าสุดจากความสำเร็จของโครงการไอคอนสยามเป็นต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจทำให้ผู้ประกอบการจากทั่วโลก ต้องมาเรียนรู้ในการพัฒนาโครงการที่สามารถถ่ายทอดตัวตน (DNA) ของประเทศให้ออกมาได้ทุกมิติ ควบคู่กับการทำธุรกิจ ความรู้และประสบการณ์จากการพัฒนาโครงการไอคอนสยามจะถูกนำไปใช้ต่อยอดในการพัฒนาโครงการใหญ่ระดับชาติ และระดับโลก โดยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบและคอนเซ็ปต์ที่แปลกใหม่เหนือความคาดหมาย ซึ่งจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบเร็วๆ นี้

นอกจากนี้สยามพิวรรธน์ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อน "วันสยาม" (One Siam) คือการผนึกกำลังของ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าและครองความเป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้า เป็นสถานที่หนึ่งเดียวในเอเชียและวงการค้าปลีกของโลก ที่ก้าวขึ้นแท่นติดอันดับ 1 ใน 10 ของสถานที่ยอดนิยมระดับโลก อันดับ 1 ใน Instagram และอันดับ 6 ใน Facebook

ไอคอนสยามยังคงเดินหน้าสร้างปรากฎการณ์ความมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดองค์ประกอบสำคัญเพิ่มเติม เช่น ทรู ไอคอน ฮอลล์ (TRUE ICON HALL) ศูนย์ประชุมพร้อมนวัตกรรมล้ำยุคแห่งแรกในกรุงเทพบนพื้นที่กว่า12,000 ตารางเมตร ที่สามารถรองรับการจัดงานประชุมระดับชาติ และจัดแสดงโชว์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการประชุมนานาชาติ สนับสนุนอุตสาหกรรม MICE ของประเทศไทย และ ริเวอร์มิวเซียม แบงค็อก (rivermusuem bangkok) ซึ่งจะเป็นพิพิธภัณฑ์มาตรฐานระดับสากลครั้งแรกในเมืองไทย โดยจะทำงานร่วมกับเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก เพื่อนำผลงานศิลปะล้ำค่าจากต่างประเทศมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

2. ผนึกกำลังพันธมิตรแถวหน้าระดับโลก ร่วมพัฒนาธุรกิจค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์

ที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย และเลือกที่จะเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจและร่วมลงทุนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ไปกับสยามพิวรรธน์ โดยเมื่อปี 2561 สยามพิวรรธน์ประกาศการลงทุนร่วมกับพันธมิตรระดับโลก ไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านค้าปลีกอันดับหนึ่งของโลกจากอเมริกา มีกำหนดการที่จะเปิด Luxury Premium Outlets แห่งแรกในประเทศไทยในปลายปีนี้ และขยายเพิ่มไปนอกกรุงเทพฯ อีก 2 แห่ง

ในขณะเดียวกัน สยามพิวรรธน์ได้รับการติดต่อจากหลายๆ บริษัทที่มีชื่อเสียงในประเทศต่างๆ ซึ่งมีความประสงค์จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และด้วยแนวทางการดำเนินธุรกิจที่เป็นกลางจึงจะทำให้สยามพิวรรธน์สามารถจับมือกับทุกพันธมิตรเพื่อพัฒนาโครงการเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษา โดยได้มองหาทำเลทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด

ในส่วนธุรกิจค้าปลีก สยามพิวรรธน์ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอสินค้าและบริการที่แปลกใหม่เป็นคนแรกอย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จที่ผ่านมา ตั้งแต่การจับมือกับ ทาคาชิมายะ ห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เพื่อเปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่ไอคอนสยาม การร่วมทุนกับบริษัท iStyle Inc. บริษัทค้าปลีกและเจ้าของเว็บไซต์รีวิวและจัดอันดับผลิตภัณฑ์ความงามที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในญี่ปุ่น เพื่อเปิดร้าน @cosme store แห่งแรกในประเทศไทย การขยายธุรกิจแฟรนไชส์ อาทิ ลอฟท์ ที่ปัจจุบันมีอยู่ถึง 5 สาขา ร้าน ALAND แฟชั่นชื่อดังที่สุดจากเกาหลี รวมถึงการสร้างร้าน ICONCRAFT พื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ ปั้นยอดฝีมือไทยสู่เวทีโลก

โดยในปีนี้ สยามพิวรรธน์มีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจค้าปลีกให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งการขยายธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบแฟรนไชส์ การร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกชั้นนำจากต่างประเทศเพื่อเปิดตัวแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์อีก 2 แบรนด์

นอกจากนี้ จะมุ่งเน้นการให้ความสนับสนุนดีไซน์เนอร์ไทยและผู้ประกอบการ SME ไทยให้พัฒนาบน platform การจัดจำหน่ายสินค้าที่สยามพิวรรธน์บริหารอย่างครบวงจร เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยๆ ที่มีต้นทุนต่ำ ได้ใช้ประโยชน์จากศูนย์กลางข้อมูลของสยามพิวรรธน์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง

3. ลงทุนธุรกิจใหม่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก

สยามพิวรรธน์มีความสนใจที่จะลงทุนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในธุรกิจอื่น และขยายธุรกิจค้าปลีก ที่จะช่วยสนับสนุนธุรกิจหลักเพื่อเสริมศักยภาพของสยามพิวรรธน์ เช่น การซื้ออาคารสำนักงาน กิจการจัดส่งสินค้า(logistics) รวมไปถึงธุรกิจด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ๆ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าในการขยายธุรกิจภายใต้บริษัทลูกอีก 4 - 5 บริษัทใหญ่ อาทิ การจัดตั้งบริษัท สยามอัลไลแอนซ์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ต่อยอดความเชี่ยวชาญจากการบริหาร Royal Paragon Hall เพื่อรับบริหารจัดการศูนย์การประชุมและศูนย์แสดงนิทรรศการใหม่ๆ อาทิ TRUE ICON HALL และลงทุนในการสร้างศูนย์ประชุมสำหรับการจัดงานต่างๆ รวมถึงการการจัดแสดงคอนเสิร์ตในทำเลใหม่ การเดินหน้าให้บริการกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดอย่างครบวงจรของบริษัท ซูพรีโม่ จำกัด ที่สร้างประสบการณ์ระดับโลกเหนือความคาดหมายมาแล้วมากมาย อาทิ การจัดงาน Amazing Thailand Countdown ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อปลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีธุรกิจให้คำปรึกษาและบริการเกี่ยวกับการจัดการอาคารของบริษัท สยามโปรเฟสชั่นแนล แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งได้ให้บริการแก่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาแล้วหลายราย ซึ่งบริษัทในเครือเหล่านี้ จะเดินหน้าให้บริการทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง

4. เปิดตัวระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และการบริหารจัดการข้อมูล ที่ได้ถูกพัฒนามาเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี สร้างความแตกต่างแต่โดนใจ เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดแบบครบวงจรทั้งในและต่างประเทศ

ด้วยการทำงานที่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของลูกค้าเป็นหลัก (Customer Centric) สยามพิวรรธน์ มีความมุ่งมั่นที่จะนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดมาพัฒนาระบบการทำงาน ตั้งแต่ การศึกษาความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการออกแบบการสร้างประสบการณ์ (customer journey) การให้บริการ และการส่งเสริมการขายให้ตรงความต้องการของลูกค้าในแต่ละบุคคลมากที่สุด

โดยในปีนี้ สยามพิวรรธน์จะเปิดตัวระบบสารสนเทศทางการตลาด (Marketing Intelligence System) ที่ได้พัฒนามานานกว่า 5 ปีด้วยงบประมาณ 500 ล้านบาท สำเร็จพร้อมใช้อย่างเต็มรูปแบบแล้วในปีนี้ โดย อาจารย์สรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของกลุ่มสยามพิวรรธน์ และ

ผศ.ดร.พีรพล เวทีกูล อาจารย์ประจำ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยในการพัฒนาระบบครั้งนี้ สยามพิวรรธน์ ได้ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่จาก 4 ศูนย์การค้าที่เป็นเจ้าของ ซึ่งมีจำนวนผู้มาเยือนสูงที่สุด ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทย มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อให้ตอบรับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังได้ปรับระบบโครงสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี (IT Infrastructure) และการบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) ทั้งหมด โดยระบบจะแบ่งเป็น 2 ส่วน

(1.) ในส่วน Front-end สยามพิวรรธน์ได้มีการทำ Location awareness และ Member awareness ผ่านระบบ Mobile Application รวม ศูนย์ข้อมูลการตลาดโดยทำ Web Centralization และพัฒนา Electronic Digital Marketing (EDM) เพื่อเข้าถึงลูกค้าผ่านทางช่องทางบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

(2.) ในส่วน Back-end สยามพิวรรธน์ได้พัฒนาระบบ Data Infrastructure เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าในหลายมิติ และใช้ Advanced data analytics ในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล เพื่อนำไปต่อยอดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดได้ตรงใจลูกค้าและได้ผลตอบแทนมากที่สุด

นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์จะขยายช่องทางค้าปลีกไปยังตลาดออนไลน์ ผ่านทางอี-คอมเมิร์ส และ เอส-คอมเมิร์ส เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถมาถึงสถานที่ของเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าต่างจังหวัดและต่างประเทศ เกิดความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในปัจจุบัน

5. กลยุทธ์การสร้างคุณค่า สมประโยชน์ร่วมกันสู่ความยั่งยืน จับมือผู้ประกอบการไทยทั่วประเทศพร้อมแข่งขันบนเวทีโลก ปั้น Local Heroes ให้เป็น Global Heroes

สยามพิวรรธน์ ยังคงยึดมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainability) โดยการสร้างแบบอย่างการดำเนินธุรกิจ คือ การร่วมกันรังสรรค์ (Co-creation) และ การสร้างคุณค่าสมประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย (Creating Shared Value) ซึ่งเป็นคอนเซปต์หลักในการพัฒนาทุกโครงการของสยามพิวรรธน์ตลอดมา

การผนึกกำลังร่วมกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการไทยรุ่นใหม่ บุคคลผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากทั่วโลก ถูกสะท้อนออกมาอย่างเป็นรูปธรรมและเต็มรูปแบบในโครงการล่าสุดคือ ไอคอนสยาม ซึ่งเป็นสเกลของการ co-creation ระดับชาติ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะมีการรวมพลังความคิดสร้างสรรค์ในทุกแขนงกับผู้มีความรู้ความสามารถจากชุมชนทั่วประเทศ ภาคธุรกิจ ภาคราชการ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ จากหลายประเทศ ทั้งรายใหญ่รายย่อย ซึ่งสยามพิวรรธน์ทำงานด้วยอย่างใกล้ชิด ท้าทายให้คิดนอกกรอบ และทำในสิ่งที่ไม่เคยทำกันมาก่อน ต่อยอดให้เกิดความสำเร็จที่เพิ่มทวีคูณกับทุกคนที่ร่วมในโครงการ

นอกจากนี้สยามพิวรรธน์ทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อร่วมฝึกสอนคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถในทุกสาขาอาชีพ ให้กลายเป็นกำลังขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศไทย อาทิ สนับสนุนโครงการดีมาร์ค โชว์ โครงการทาเลนต์ไทย แอนด์ ดีไซน์เนอร์รูม และการเปิดร้าน Objects of Desire Store (ODS) ที่ร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อผลักดันผลงานของนักออกแบบไทยรุ่นใหม่ให้ก้าวไกลสู่ตลาดโลก โครงการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชุมชนสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ร่วมกับ กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับโอทอปแบบครบวงจร ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรรม และการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม ร่วมกับ SACICT ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การ มหาชน) นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ ยังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการท้องถิ่นรายย่อยจากทั่วประเทศไทย ในโครงการสุขสยาม ส่งผลให้ผลิตผลจากหมู่บ้านและท้องถิ่นต่างๆ มียอดขายที่ดีและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

สยามพิวรรธน์ จะยังคงสนับสนุนโครงการเหล่านี้ต่อไป รวมทั้งมองหาโอกาสที่จะทำโครงการดีๆ ร่วมกับองค์กรต่างๆ เพื่อสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ เชิดชูความสามารถและผลักดันฝีมือคนไทย ปั้น "Local Heroes" ให้กลายเป็น "Global Heroes" ที่จะทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทย และสามารถแข่งขันได้อย่างสง่างามบนเวทีโลก

ทุกโครงการจะต้องแผ่กระจายความรุ่งเรือง ทำประโยชน์ให้กับชุมชนธุรกิจที่อยู่รายล้อม ดูแลสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของชุมชน สร้างประโยชน์ให้สังคมในวงกว้าง สร้างความเจริญทางเศรษฐกิจและนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ สยามพิวรรธน์เป็นเวทีในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย

ส่งเสริมผลักดันความสามารถของคนไทยจากทุกสาขาอาชีพ ให้คนไทยภูมิใจในศักยภาพ จุดประกายพลังของความเป็นไทย

6. การพัฒนาสยามพิวรรธน์ อคาเดมี (Siam Piwat Academy) และการสร้างสยามพิวรรธน์ Next-Gen Leader

เพื่อรองรับการขยายธุรกิจที่โตอย่างก้าวกระโดดจาก 15 บริษัทเป็น 46 บริษัทภายใน 5 ปีที่ผ่านมา และตอบรับกับแผนการขยายธุรกิจ สยามพิวรรธน์มีแผนปรับโครงสร้างบริหารและพัฒนาองค์กรดังนี้

การสร้างสยามพิวรรธน์ Next-Gen Leader ปั้นคนรุ่นใหม่เสริมทัพผู้บริหารเพื่อขับเคลื่อนองค์กร โดย 5 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างหน่วยงาน Think Tank ที่ได้ทำงานร่วมกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้บริหารระดับสูงที่มากด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาอย่างใกล้ชิด เป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้ถูกฝึกฝีมืออย่างเข้มข้น และมีเวทีในการแสดงศักยภาพ มีโอกาสเติบโตและภาคภูมิใจไปกับทุกความสำเร็จขององค์กร

นอกจากนี้ โครงการสยามพิวรรธน์ อคาเดมี (Siam Piwat Academy) ซึ่งคือหลักสูตรการบริหารจัดการ ที่นำองค์ความรู้ในการบริหารศูนย์การค้าและการค้าปลีกของสยามพิวรรธน์ที่สั่งสมมากว่า 60 ปีมาถ่ายทอดให้กับสังคม โดยใน 3 ปีที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์ได้ทำงานร่วมกับสถาบันชั้นนำของประเทศไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการสอนเกี่ยวกับ Sustainable Shopping Mall Management ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี และมีการขยายความร่วมมือไปยังสถาบันชั้นนำอื่นๆ อาทิ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ ในปีต่อไปนี้สยามพิวรรธน์จะเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ มีความชำนาญที่หลากหลาย (Multi Skills) ที่สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้า และเข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนยุคดิจิตอล

สยามพิวรรธน์มีแผนที่จะปรับโครงการสร้างองค์กรด้วยการสร้าง Center of Excellence หรือ การสร้างหน่วยงานกลางที่รวมเอาบุคลากรผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในสาขาต่างๆ ขึ้นเป็นหน่วยงานส่วนกลางเพื่อกำกับดูแล และให้การสนับสนุนบริษัทลูกในเครือทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีแผนการปรับกระบวนการทำงานโดยนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มีผลิตภาพมากขึ้น อาทิ การใช้ Chatbot, Robotic, AI ทำให้องค์กรมีความคล่องตัว (Agile organization) สามารถปรับตัวได้เร็วตอบสนองความต้องการ และการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

"เราเชื่อมั่นว่าด้วยวิสัยทัศน์และจุดยืนที่แตกต่างของการใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย (The Icon of creative & innovative lifestyle) ในการดำเนินธุรกิจของสยามพิวรรธน์ตลอด 60 ปี พร้อมกับกลยุทธ์ที่ได้วางไว้จะสามารถทำให้เรายืนหยัดและประสบความสำเร็จในวงการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ต่อไปอีกในทุกยุคทุกสมัย และ ช่วยนำพาธุรกิจ พันธมิตรทุกคนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งสู่การเป็น "ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์" (Creative Economy) และนำประเทศไทยสู่ความยิ่งใหญ่บนเวทีโลก นางชฎาทิพ กล่าวปิดท้าย

HTML::image(
ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit