ล่าสุดโครงการ "เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ" จัดโดย ซีพี ออลล์ ผู้ก่อตั้งร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในประเทศไทย ได้เชิญคุณหมอวัฒนามาเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ"ธรรมะคือความจริง มิใช่เรื่องศรัทธา" ทำให้ผู้ฟังคลายสงสัยและได้รับคำตอบกระจ่างชัดในหลายเรื่องหลายประเด็นที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงได้รับรู้แก่นแท้ในหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นพ.วัฒนาเกริ่นว่า คนปัจจุบันเอาเงินเป็นที่ตั้ง เห็นความมั่งคั่งคือจุดหมาย กระวนกระวายกับความโลภของตนเอง ไม่ยำเกรงบุญบาปและศีลธรรม เคยถามเรื่องนี้กับหลวงพ่อเทียน ท่านบอกว่าที่เราเรียกว่าเงิน เป็นเพียงกระดาษเท่านั้นเอง เมื่อใช้มีคนยอมรับถึงจะมีราคา แต่เงินซื้อได้แค่ 2 อย่างคือความสะดวกกับความพอใจ แต่ซื้อความหมดทุกข์ไม่ได้
"ในมุมมองของผม เมื่อไหร่เราเป็นนายเงิน เงินจะมีราคาและมีค่าเหมือนกับทองคำที่สามารถจะให้ความสะดวกความสบายกับตัวเราได้ แต่เมื่อไหร่ที่เงินเป็นนายเรา จะกลายเป็นอาวุธ ซึ่งเป็นอาวุธ ฆ่าพี่ฆ่าน้อง ฆ่าเพื่อนฝูง ฆ่าคนในครอบครัวและสุดท้ายจะฆ่าตัวเองเพราะโลภไม่มีที่สิ้นสุด"
นพ.วัฒนาแจกแจงให้ฟังว่า ส่วนใหญ่การนับถือศาสนาพุทธในบ้านเราจะเป็นระดับศรัทธา เป็นความศรัทธาแบบฟังชัดพูดเข้าใจแต่พอไปถึงบ้านสงสัย เพราะความเชื่อที่ขึ้นแก่ศรัทธาเหมือนความเชื่อที่เป็นสีเทา ออกแดดดูขาว เข้าร่มมาดูดำ ตัดสินใจไม่ถูก แต่แท้ที่จริงแล้วคำสอนพุทธศาสนาเป็นเรื่องขาวดำ ขาวดำคือว่ามันไม่มีข้อสงสัยถ้ารู้จริง
"ธรรมมะต้องหาความจริงไม่ใช่แค่ศรัทธา มีศรัทธาดี เป็นสิ่งที่ดีแล้ว เป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ขอให้พัฒนาต่อเพื่อให้เกิดปัญญา"
ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนท่านนี้ได้ยกตัวอย่างให้เห็นว่า มีคนในยุคปัจจุบันพยายามอ้าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ว่านับถือพุทธศาสนา ซึ่งใครๆก็รู้ว่าไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีเด่นของโลกคนหนึ่ง แต่สิ่งที่ไอน์สไตน์พูดเกี่ยวกับพุทธศาสนานั้นน่าฟังมาก ท่านบอกว่าวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีศาสนาร่วมด้วยเป็นของที่ไม่สมประกอบ แต่ศาสนาไม่มีวิทยาศาสตร์คือตาบอด ศาสนาที่เราเชื่อด้วยศรัทธาอย่างเดียวบางทีไปไม่ได้เพราะว่ามีศรัทธาอย่างเดียวกลายเป็นเรื่องงมงายได้ ฉะนั้นก็เหมือนกับคนตาบอดอย่างที่ไอน์สไตน์พูด"
นอกจากนี้คุณหมอวัฒนายังเล่าให้ฟังว่า ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าเคยถามกับทางผู้นับถือศาสนาเชนว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต อะไรสำคัญที่สุด ทางศาสนาเชนบอกว่าอดีต เพราะได้ทำกรรมในอดีตถึงมาเกิดในปัจจุบัน แต่พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ แท้ที่จริงแล้วที่สำคัญที่สุดในเรื่องกรรม คือมโนกรรม ความคิดสำคัญที่สุด
ส่วนในเงื่อนเวลา พระพุทธเจ้าระบุปัจจุบันสำคัญที่สุด ด้วยเหตุว่าอดีตผ่านไปแล้วแก้ไม่ได้ เราหมุนนาฬิกาย้อนกลับไม่ได้ อนาคตเป็นสิ่งที่เรากะไม่ได้ รู้แต่ว่าปัจจุบันที่เราทำได้ ถ้าทำปัจจุบันให้ดี ไปถึงวันพรุ่งนี้ วันนี้ก็จะเป็นอดีตที่ดีของพรุ่งนี้ ถ้าเกิดเราตั้งใจดีอยู่แล้วคงจะไม่เลวร้ายสำหรับวันรุ่งขึ้น เพราะฉะนั้นให้อยู่ที่ปัจจุบัน
หากได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธองค์อย่างถ่องแท้จะรู้ว่าทรงชี้แนะแนวทางการใช้ชีวิตไว้ให้ผู้คนในโลกใบนี้ไว้แล้ว อย่างที่คุณหมอวัฒนาย่อยออกมาเป็นภาษาง่ายๆให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าคนจะมีความสุขในปัจจุบันต้องทำ 4 อย่าง
1. ต้องมีอาชีพ เมื่อมีอาชีพแล้วต้องพัฒนาอาชีพตัวเองให้ดียิ่งๆขึ้นไป ต้องมีความรับผิดชอบ
2. ต้องรู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้ อันทรัพย์ที่หามาได้ จากเหงื่อจากแขน 2 ข้าง หาได้โดยชอบธรรมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ต้องรู้จักรักษาไม่ให้ไฟไหม้ ไม่ให้น้ำท่วม ไม่ให้โจรขโมยมาลักขโมย
3. ต้องมีกัลยาณมิตรคือมีเพื่อนที่ดี เพื่อนที่ดีอธิบายได้หลายอย่าง แต่แบบภาษานอกวัดคือ พูดแล้วสติปัญญาดีขึ้น นี่คือกัลยาณมิตร
4. เมื่อครบ 3 อย่างแล้วต้องเลี้ยงชีพให้พอเหมาะ อย่าให้ฟุ่มเฟือยจนเกือบไป อย่าให้ขัดเคือง คับแค้นจนเกินไป ถ้าผู้ใดมีฐานะแล้วเลี้ยงชีพด้วยความฝืดเคืองจะตายอย่างคนอนาถา และในการใช้ทรัพย์สินนั้นให้เหมือนกับน้ำเข้ามากกว่าน้ำออก
พร้อมกันนี้พระพุทธเจ้ายังบอกไว้ว่า ชีวิตที่จะนำไปสู่การเสื่อมทางศีลธรรมอันแรกสุดคือ ผู้หญิง อันที่2เป็นสุราและยาเสพติดด้วย อันที่ 3 นักเลงการพนัน อันที่4 เพื่อนชั่ว ท่านบอกต้องเลี่ยง 4 อย่างนี้ไม่อย่างนั้นชีวิตจะไม่มีความสุข
สรุปแล้วคุณหมอวัฒนาได้แจกแจงให้เห็นแล้วว่าพระพุทธองค์ทรงแนะนำและชี้ทางสว่างให้กับมวลมนุษย์ไว้เรียบร้อยแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราๆท่านจะดำเนินชีวิตมุ่งสู่แนวทางพ้นทุกข์ได้มากน้อยแค่ไหน
สำหรับผู้ที่สนใจข้อคิดดี ๆ แบบนี้ สามารถเข้ารับฟังธรรมบรรยายกับโครงการ "เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ" ได้ที่อาคารซีพี ทาวเวอร์ ชั้น 11 ถนนสีลม ทุกวันศุกร์ เวลา 12.00 – 13.30 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit