รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดีคณะวิศวลาดกระบัง กล่าวว่า ในหลายประเทศต่างมีกฎหมายและข้อบังคับในการสร้างอาคารต่าง ๆ จะต้องออกแบบให้มีวัสดุอุปกรณ์ดูดซับเสียง เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน คนทำงาน ผู้อยู่อาศัย ผู้มาใช้บริการ และสิ่งแวดล้อมของชุมชน ตลอดจน ลดมลภาวะทางเสียง ขณะที่ประเทศไทยไม่มีกฏกติกา เสียง (Sound) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การสื่อสารและการบันเทิง เป็นคลื่นเชิงกลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ และถูกส่งผ่านตัวกลางอย่างอากาศ มายังหู โดยเสียงสามารถเดินทางผ่านสสารในสถานะก๊าซของเหลวและของแข็ง หากเสียงที่มีความดังเกิน 85 เดซิเบลจะเป็นผลเสียต่อการสื่อสารและสุขภาพ และสังคม ที่เรียกว่า มลภาวะทางเสียง อาคารที่ดีควรจะได้ออกแบบมาตั้งแต่ก่อนสร้างโดยให้มีการใช้วัสดุและระบบดูดซับเสียงที่เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละส่วนของอาคาร ไม่ใช่สร้างเสร็จแล้วจึงค่อยทำหรือแก้ไขตามมา เราจะมีค่าใช้จ่ายสูง นวัตกรรม "แผ่นอะคูสติกจากผักตบชวา" ตอบโจทย์ได้หลายด้าน
วัชร น้อยมาลา หรือ เบนซ์ เมคเกอร์ วัย 22 ปี บอกถึงแนวคิดในการนำผักตบชวามาสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรม ว่า "พวกเราประสบปัญหาระหว่างการเรียนภายในห้องเรียน ที่มีแผ่นผนังเป็นไม้อัดผิวเรียบ เสียงพูดภายในชั้นเรียนจะสะท้อนไปมาภายในห้อง ทำให้คุณภาพเสียงที่ได้ไม่มีความชัดเจนส่งผลเสียแก่ผู้เรียน และการส่งสารระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารก็ผิดพลาด เราจึงศึกษาหาวัสดุมาทำนวัตกรรมแผ่นดูดซับเสียง ที่ราคาไม่แพง และเห็นว่า ผักตบชวาเหมาะสมที่สุดเพราะเป็นวัชพืชหาง่าย ที่แพร่กระจายในแม่น้ำ ลำคลองอย่างรวดเร็ว กีดขวางการขนส่งและการสัญจรทางน้ำ ก่อให้เกิดปัญหาน้ำล้นตลิ่ง จึงจุดประกายความคิดในการนำผักตบชวามาพัฒนาและแปรรูปให้เกิดประโยชน์ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ"
พุทธิพงษ์ วงษ์บัณฑิต หรือ เฟิส วัย 22 ปี หนึ่งในสมาชิกของทีมบอกว่า "นวัตกรรมแผ่นดูดซับเสียงจากผักตบชวา มีจุดมุ่งหมายคือ ใช้กับห้องเรียน ห้องประชุม และห้องโถงขนาดใหญ่ ที่บรรจุคนได้ประมาณ 100 – 200 คน การผลิตแผ่นดูดซับเสียงจากผักตบชวามี 5 ขั้นตอนคือ
1.นำผักตบชวาจากแหล่งน้ำ เลือกใช้เฉพาะส่วนต้นเนื่องจากมีปริมาณเส้นใยมากกว่าส่วนอื่น แล้วหั่นให้มีขนาดประมาณ 1 นิ้วเพื่อให้ความละเอียดของเส้นใยยึดเกาะกันมากกว่าผักตบชวาที่ไม่หั่น ความเป็นรูพรุนของวัสดุอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งเป็นคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับขึ้นรูปแผ่นดูดซับเสียง , 2. นำผักตบชวาผสมกับสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซน์ (NaOH) ไปต้มเป็นเวลา 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นโครงสร้างของผักตบชวาถูกปรับสภาพเป็นเส้นใย , 3.นำเส้นใยของผักตบชวาไปล้างน้ำสะอาด 3-4 ครั้ง และนำเส้นใยที่สะอาดไปผสมกับสีผสมอาหาร และปูนซีเมนต์ โดยปูนซีเมนต์ที่ใช้ คือ 1% หลังจากนั้นนำไปอัดลงในแม่พิมพ์ให้เต็มและกดด้วยวัสดุผิวเรียบบริเวณด้านบนของแม่พิมพ์ , 4.นำแม่พิมพ์ที่ผ่านการอัดเส้นใยไปอบด้วยเครื่องอบแห้งแบบลมร้อน ที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง และ 5. ขั้นตอนสุดท้าย คือ การนำแผ่นวัสดุที่ได้ไปทดสอบหาค่าการสะท้อนกลับของเสียงเปรียบเทียบกับโฟมดูดซับเสียงมาตรฐาน
สำหรับวิธีการใช้งานแผ่นดูดซับเสียงที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ มีวิธีการง่าย ๆ คือ นำแผ่นดูดซับเสียงทากาวชนิดใดก็ได้และติดลงบนผนังตามขนาดที่ต้องการเพื่อป้องกันเสียงดังออกจากภายนอก และเสียงที่ได้รับก็มีมาตรฐาน
คุณสมบัติเด่นของแผ่นดูดซับเสียงจากผักตบชวา เมื่อเสียงเดินทางกระทบกับแผ่นดูดซับที่ทำขึ้นจากผักตบชวา เสียงจะสะท้อนและกระเจิงไปในทิศทางต่าง ๆ ซึ่งช่วยลดปัญหาการเกิดเสียงก้อง เนื่องจากผักตบชวามีเส้นใยที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับวัสดุดูดซับเสียงที่ได้มาตรฐานระดับสากลและนิยมใช้ตามห้องดนตรี จากการทดสอบพบว่า แผ่นดูดซับเสียงจากผักตบชวาช่วยลดการทอนของเสียงมีค่าการทดสอบเฉลี่ยอยู่ที่ 1.3 ในขณะที่ แผงไข่ และผนังไม้ค่าเฉลี่ยอยู่ 1.5 และ 2.3 ตามลำดับ (สำหรับค่าของวัสดุดูดซับเสียงมาตรฐาน เท่ากับ 1.0)
พัชรพฤกษ์ ผาโพธิ์ หรือ ดราฟ วัย 22 ปี หนึ่งในทีมนวัตกรรมนี้บอกว่า "แผ่นอะคูสติกจากผักตบชวาสร้างคุณค่าเกิดประโยชน์ 4 ต่อด้วยกัน คือ 1. ช่วยแก้ปัญหาเสียงในอาคารที่อยู่อาศํย , อาคารสำนักงาน , ห้องซ้อมดนตรี , ธุรกิจบริการห้องอัดเสียง หรือ แม้แต่ผู้ให้บริการห้องประชุมใหญ่ 2. นำสิ่งที่ไร้ค่ามาใช้ให้เกิดประโยชน์และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ , 3. ประหยัดต้นทุนการทำระบบดูดซับเสียง แผ่นดูดซับเสียงจากผักตบชวา มีราคาต้นทุนอยู่ที่ 14 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งถูกกว่าแผงไข่ที่มีราคาต้นทุน 27 บาทต่อตาราเมตร และที่สำคัญราคาถูกกว่าซื้อแผ่นดูดซับเสียงจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาสูงถึง 350 บาท/ ตารางเมตร และ 4.ลดปริมาณวัชพืชขยะในแม่น้ำลำคลองช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit