นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานในพิธีเปิดกล่าวถึงความสำคัญของพลัง SMEs ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยว่า "ผู้ประกอบการ SMEs ไทยในปัจจุบันมีจำนวนกว่า 3 ล้านกิจการ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.7ของจำนวนวิสาหกิจทั้งหมด โดยมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของ SMEs ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัว ร้อยละ 6 คิดเป็นมูลค่า 1.74 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42.8 ของ GDP รวมทั้งประเทศ จึงถือได้ว่า SMEs มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกธุรกิจยุคใหม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายให้ SMEs ต้องปรับตัวเพื่อให้ทันต่อการแข่งขันในโลกการค้าที่ก้าวสู่ยุค industry 4.0 ที่เป็นโกลบอล และดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลตระหนักถึงและได้ให้ความสำคัญในประเด็นนี้อย่างยิ่ง จึงได้กำหนดให้การพัฒนา SMEs เป็นวาระแห่งชาติ ขับเคลื่อนผ่านทุกกลไกของรัฐบาล และกระผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็จะใช้ศักยภาพทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ และหน่วยงานอื่นๆ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ SMEs มีความแข็งแกร่ง สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ ไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มอาเซียนเท่านั้น แต่ต้องติดอาวุธให้ SMEs สามารถบุกไปในทุกภูมิภาคได้"
"กระทรวงพาณิชย์ได้กรุยทางในช่องทางการค้าต่างประเทศที่สำคัญต่างๆ เช่น การนำสินค้า SMEs ไทยมาพัฒนาร่วมกับศูนย์นวัตกรรม (Innovation Center) ของเทสโก้ กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ เพื่อพัฒนาคุณภาพสินค้า และส่งออกไปจำหน่ายในห้างเครือข่ายในสหราชอาณาจักร ยุโรป และเอเชีย ฯลฯ และความร่วมมือกับสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ หรือ New Economy Academy ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และสถาบันไอซีซี ประเทศฝรั่งเศส ในการพัฒนา SMEs ไทย และแลกเปลี่ยนข้อมูลกฎระเบียบด้านการค้า นโยบาย พิธีการศุลกากร ตลอดจนจัดกิจกรรมเสริมแรงกระตุ้นและสร้างแนวคิดให้ SMEs ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ และต่อยอดให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ดังเช่นงานสัมมนาในวันนี้ เป็นต้น ซึ่งความมุ่งมั่นนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมให้ SMEs ไทยซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สามารถพัฒนาต่อยอดทางธุรกิจให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น" นายสนธิรัตน์ กล่าว
สาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า "สำหรับมูลค่าการส่งออกของ SMEs ใน 5 เดือนแรกของปี 2561(ม.ค. – พ.ค. 2561) มีมูลค่า 25,467.07 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.5 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยตลาดส่งออกสำคัญอยู่ในกลุ่มตลาดอาเซียน มีมูลค่า 7,576 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 6 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.7 รองลงมา คือ ประเทศจีน มีมูลค่า 3,019 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.9 ทั้งนี้ สินค้าส่งออกที่สำคัญของ SMEs อยู่ในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ หมวดพลาสติกและของทำด้วยพลาสติก หมวดยานยนต์และส่วนประกอบ ตามลำดับซึ่งจะเห็นได้ว่า SMEs ไทยยังมีศักยภาพที่จะสามารถขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดหลักของ SMEs ไทย เนื่องจากมีความนิยม และชื่นชอบสินค้าคุณภาพจากประเทศไทย รวมทั้งมีรสนิยมและพฤติกรรมการบริโภคไม่แตกต่างกันมากนัก จึงถือเป็นช่องทางสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการ SMEs เติบโตและกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ได้ซึ่งการสัมมนา 'ติดปีก SMEs ไทยบินไกลสู่ตลาดโลก' ในวันนี้ จะช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ รวมทั้งส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายให้กับผู้ประกอบการทำให้ SMEs ไทยสามารถเข้าถึงช่องทางการค้าในตลาดจีน อินเดีย อาเซียน และภูมิภาคอื่นๆ ทั้งช่องทางดิจิทัลและผ่านผู้แทนการค้าที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญตลาดของแต่ละประเทศโดยเฉพาะ รวมถึง จะได้พบกับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้นำนวัตกรรมในรูปแบบต่างๆ มาพัฒนาและต่อยอดธุรกิจจนประสบความสำเร็จมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ แนวคิด ปัญหาอุปสรรค และแนวทางการปรับตัวให้กับผู้เข้าร่วมสัมมนา เพื่อเป็นแนวคิดให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้นำไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป"ด้านนายกฤตธี มโนลีหกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้บริการเว็บไซต์ Sanook.com, แอพพลิเคชั่นสำหรับสื่อสาร WeChat และแอพพลิเคชั่นสำหรับฟังเพลง Joox กล่าวว่า "เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลาดจีนในปัจจุบันมีขนาดใหญ่มาก โดยประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออก SMEs ไปยังประเทศจีน มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท และโอกาสขยายตัวทางธุรกิจของประเทศไทยไปยังตลาดจีนนั้นจะยิ่งได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดออนไลน์ ด้วยจำนวนผู้ใช้ WeChat ที่มีอยู่ราว 963 ล้านคนทั่วโลก ที่ใช้ WeChat แทนการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงถือได้ว่าแอพพลิเคชั่นสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่มคนจีนได้เป็นจำนวนมากจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ SMEs สามารถใช้เป็นเครื่องมือขยายตลาดและธุรกิจไปยังประเทศจีนได้เป็นอย่างดี" ในขณะที่ นางสาวพัชรพร สิริทรัพย์วงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ Baidu ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า "Baidu หรือที่เรียกว่า ไป่ตู้ ก็จัดเป็น Search Engine ยอดนิยมของตลาดจีนมาโดยตลอดเช่นกัน โดยมีสัดส่วนในตลาดจีนมากที่สุดถึง 72.73% และจะเป็นช่องทางที่ดีในการดึง SMEs ไทยขยายธุรกิจสู่ตลาดจีนได้เป็นอย่างดี"
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้จัดงาน เชื่อมั่นว่า ผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมงานสัมมนา 'ติดปีก SMEs ไทยบินไกลสู่ตลาดโลก' จะได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ และเป็นการติดอาวุธเสริมความแกร่งของผู้ประกอบการไทยให้ไปไกลสู่ตลาดโลกจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและมากประสบการณ์ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ที่จะมาบอกเล่าถึงช่องทางการโกอินเตอร์เพื่อเจาะตลาดจีน อินเดีย และอาเซียน จากกูรู SMEs ในตลาดจีน และอินเดีย อาทิ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด, Baidu ประเทศไทย ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการไอทีของประเทศจีน, สภาธุรกิจ ไทย-อินเดีย และสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่และเปิดประสบการณ์ SMEs ที่ประสบความสำเร็จในการนำ "Creative Digital Innovation" มาปรับใช้ในธุรกิจจนประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ ซึ่งจะทำให้ภารกิจสำคัญเพื่อติดปีก SMEs ไทยให้แข็งแกร่ง และจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งต่อไป
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit